บช.ปส.จับแก๊งค้ายานรก 4 คดี ยาบ้า 1,000,000 เม็ด ทั้งชาวไทยและไนจีเรีย ขนผ่านด่านตะวันออกกลางเข้าสู่ไทย พร้อมของกลางโคคาอีนอีกเป็นกิโลฯ ยึดทรัพย์รวม 200 ล้านบาท
วันนี้ (1 พ.ย.) ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ รรท.ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. พล.ต.ท.พรหมธร ภาคอัต ผู้ช่วย ผบ.ตร.พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผบช.ปส. พล.ต.ท.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รรท.ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.อาชวันต์ โชติกเสถียร รรท.รอง ผบช.ปส. พล.ต.ต.ทนงศักดิ์ ทั่งทอง รอง ผบช.ปส. พล.ต.ต.ชาตรี ไพศาลศิลป์ รอง ผบช.ปส. พล.ต.ต.ทนัย อภิชาติเสนีย์ รรท.รอง ผบช.ปส. พล.ต.ต.สุนทร เฉลิมเกียรติ ผบก.ประจำ บช.ปส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศุลกากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ร่วมกันแถลงผลการจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดรายสำคัญ จำนวน 4 คน
โดยคดีแรกสืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 1 ได้จับกุมผู้ต้องหาจำนวน 3 คน พร้อมของกลางยาบ้า 1,000,000 เม็ด ในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ต่อเนื่องพื้นที่กรุงเทพฯ และขยายผลออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการอีก 3 คน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 1 ได้ประสาน ศอ.ปส.ตร.ร่วมกันขยายผลพบว่าเป็นเครือข่ายการค้ายาเสพติดรายสำคัญเชื่อมโยงหลายพื้นที่ มีผู้ร่วมขบวนการจำนวนมาก โดยมีนายจิรัฏฐ์ เพ็ญโสภณวิชญ์ หรือนายจรัล คำสด เป็นตัวการสำคัญ ต่อมาได้มีคำสั่ง ตร.ที่ 490/2560 ลง 9 ส.ค. 60 แต่งตั้งเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวน จาก บช.ปส. และเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 1 เพื่อบูรณาการร่วมกันสืบสวนสอบสวนขยายผลนำไปสู่การขออนุมัติออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการอีก 6 คน และมีบุคคลในเครือข่ายของนายจรัล คำสด ที่มีหมายจับคดียาเสพติด อีก 2 คน รวมเป็น 11 คน จากนั้นได้มีการบูรณาการกำหนดแผนปฏิบัติการชัยยะสยบไพรี 60/6 “ผลพวงของความโลภ” เครือข่ายนายจรัล คำสด เพื่อปิดล้อมตรวจค้น จับกุมบุคคลในเครือข่ายดังกล่าวตามหมายจับ พร้อมยึดและอายัดทรัพย์สิน ที่ได้จากการค้ายาเสพติด
โดยกำหนดแผนปิดล้อมตรวจค้นจำนวน 43 จุด ระหว่างวันที่ 11-20 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้ทำการตรวจยึดทรัพย์สินในเครือข่ายนายจิรัฏฐ์ หรือเอกอ้วน เพ็ญโสภณวิชญ์ กับพวกไว้เพื่อตรวจสอบรวมมูลค่ากว่า 160 ล้านบาท โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา บก.ปส.2 ได้ทำการตรวจยึดทรัพย์สินจากตู้นิรภัยที่ยึดได้จากบ้านพักของเครือข่ายนายจิรัฏฐ์ จำนวน 2 ตู้ ไว้ตรวจสอบเพิ่มเติม ซึ่งภายในตู้แรกพบว่า มีทองคำรูปพรรณน้ำหนักประมาณ 25 บาท ราคาประมาณ 491,184 บาท และนาฬิกา 2 เรือน ส่วนอีกตู้พบทองคำแท่ง น้ำหนักประมาณ 900 บาท ราคาประมาณ 18,000,000 บาท ทองรูปพรรณ น้ำหนักประมาณ 50 บาท ราคาประมาณ 982,368 บาท และเงินสดจำนวน 18,991,000 บาท รวมมูลค่าทรัพย์สิน 38,464,552 บาท ซึ่งมูลค่าทรัพย์สินจากการปฏิบัติการชัยยะสยบไพรี 60/6 “ผลพวงของความโลภ” รวมทั้งสิ้นเกือบ 200 ล้านบาท
ต่อมาคดีที่สองเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม น.ส.นุสรา ชำกรม อายุ 26 ปี สัญชาติไทย และชายผิวสีไม่พบหนังสือเดินทางแต่ให้การอ้างว่าชื่อ นายฟรานเซส เรมิเกียส โอเคนวา (FRANCES REMIGIUS OKENWA) สัญชาติไนจีเรีย พร้อมของกลางโคคาอีนลักษณะเป็นผงสีขาวอยู่ในหีบห่อพลาสติกสีดำ ซุกซ่อนอยู่ภายในช่องลับของกระเป๋าเป้สะพายหลังสีฟ้าสลับสีเทา ยี่ห้อ SHUERBEI น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้มประมาณ 1,800 กรัม กระเป๋าเป้สะพายหลังสีฟ้าสลับสีเทา ยี่ห้อ SHUERBEI 1 ใบ โทรศัพท์มือถือ 5 เครื่อง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค 1 เครื่อง สมุดบัญชีธนาคาร 4 เล่ม บัตรกดเงินสด 6 ใบ และรถยนต์เก๋ง 1 คัน ในข้อหา ร่วมกันนำยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคคาอีน) เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคคาอีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาที่ 1 ได้บริเวณช่องตรวจศุลกากร (ช่องเขียว) โซน C ชั้น 2 ห้องโถงผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 จับกุมได้บริเวณข้างถนนรามคำแหง ฝั่งตรงข้ามห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร
โดยก่อนเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมภายใต้ความร่วมมือตามโครงการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด ผ่านท่าอากาศยาน ได้ร่วมกันสืบสวนเครือข่ายกลุ่มผู้ลักลอบลำเลียงยาเสพติดชาวแอฟริกาตะวันตก เพื่อเฝ้าระวังการลักลอบนำยาเสพติดให้โทษเข้ามาในราชอาณาจักรพบว่าเครือข่ายค้ายาเสพติดระหว่างประเทศจะลักลอบนำยาเสพติดจากอเมริกาใต้ ผ่านตะวันออกกลางเข้าสู่ประเทศไทย ในวันที่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยผู้ต้องสงสัยคือนางสาวนุสรา เป็นผู้โดยสารของสายการบินเอมิเรตส์แอร์ไลน์ส (EMIRATES AIRLINES) เที่ยวบินที่ EK376 ของวันที่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยเดินทางจากประเทศดูไบ และจะมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในวันเดียวกัน
ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เฝ้าติดตามจนกระทั่งหญิงคนดังกล่าวผ่านการตรวจลงตราของระบบตรวจคนเข้าเมือง เดินเข้าช่องตรวจศุลกากรไม่มีของต้องสำแดง (ช่องเขียว) เจ้าหน้าที่ชุดตรวจค้นจับกุม จึงได้แสดงตัวตรวจสอบเอกสาร สัมภาษณ์และตรวจสอบสัมภาระด้วยเครื่องเอกซเรย์ พบมีสิ่งผิดปกติอยู่ภายในกระเป๋าสัมภาระแบบเป้สะพายหลังสีฟ้าสลับสีเทา ยี่ห้อ SHUERBEI ที่นางสาวนุสรา นำมาจึงให้นางสาวนุสรา เปิดกระเป๋าสัมภาระให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่า มีช่องลับกระเป๋าซุกซ่อนห่อพลาสติกสีดำซุกซ่อนอยู่ภายใน จึงได้ใช้มีดเปิดหีบห่อดังกล่าวพบวัตถุต้องสงสัย ลักษณะผงสีขาวบรรจุอยู่ภายใน เมื่อนำวัตถุต้องสงสัยดังกล่าวมาทดสอบเบื้องต้นเป็นยาเสพติดประเภทโคคาอีนจึงได้จับกุมตัวไว้
จากนั้นได้ขยายผลการจับกุม ชายต่างชาติผิวสีใช้ชื่อเรียกว่า นายโบร ผู้ว่าจ้าง ได้โทรศัพท์ติดต่อมายัง น.ส.นุสรา ก่อนนัดกันให้ไปพบบริเวณห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ถนนรามคำแหง แขวงและเขตมีนบุรี กทม. จึงร่วมกันวางแผนจับกุม โดยให้นางสาวนุสราไปส่งมอบยาเสพติดตามที่นัดหมาย มีเจ้าหน้าที่คอยเฝ้าสังเกตการณ์ กระทั่งมีรถยนต์เก๋งขับมาจอดจุดที่ น.ส.นุสรากำลังเดินอยู่ข้างถนน เพื่อรับ น.ส.นุสราและกระเป๋าซุกซ่อนยาเสพติด ทางเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานเข้าทำการจับกุมและควบคุมตัวชายผิวสี ก่อนนำตัวไปตรวจค้นที่พักอาศัยภายใน จ.สมุทรสาคร แต่ไม่พบสิ่งกฎหมายแต่อย่างใด จากการตรวจค้นพบทรัพย์สินที่เชื่อว่าได้มาหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดของผู้ต้องหาที่ 2 จึงยึดไว้เพื่อตรวจสอบ จึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี
ส่วนคดีที่ 3 เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมนายสุริยา สาสนธิ อายุ 42 ปี น.ส.เทวา บรรไพร อายุ 43 ปี นายชาญวิทย์ เกษมสิน อายุ 42 ปี นายวัชราวุฒิ โคตคำ อายุ 29 ปี น.ส.ธันยชนก ผายม อายุ 29 ปี นางนิ่มนวล สมเทพ อายุ 32 ปี นายสันทัด ฉายาฤทธิ์ อายุ 25 ปี และนายจักรกริช สุขพ่วง อายุ 25 ปี พร้อมของกลางกัญชา น้ำหนักประมาณ 199.9 กิโลกรัม ยาบ้า 187 เม็ด รถยนต์เก๋ง 2 คัน รถยนต์กระบะ 1 คัน จักรยานยนต์ 1 คัน และโทรศัพท์มือถือ 10 เครื่อง ในข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 (กัญชา) และยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยจับกุมได้ที่สถานีบริการน้ำมัน PT เลขที่ 123 หมู่ที่ 4 บ้านหนองหญ้าปล้อง ต.บ่อใหญ่ อ.บรบือ จ.มหาสารคาม ต่อเนื่องสถานีบริการน้ำมัน ปตท.เลขที่ 778 หมู่ที่ 1 ถ.แจ้งสนิท ต.บรบือ อ.บรบือ จ.มหาสารคาม ต่อเนื่องบริเวณลานจอดรถห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาระยอง เลขที่ 15/11 ถนนบางนา-ตราด ต.เชิงเนิน อ.เมืองระยอง จ.ระยอง และบริเวณถนนในหมู่บ้านวัดบ้านเก่า หมู่ที่ 1 ต.ตาขัน อ.บ้านค่าย จ.ระยอง
โดยก่อนเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่าจะมีกลุ่มขบวนการลักลอบขนลำเลียงยาเสพติดให้โทษซึ่งเป็นกลุ่มคนในพื้นที่ จ.นครพนม ตามคำสั่งการของนายทุนผู้ว่าจ้างจากพื้นที่ อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม เพื่อไปส่งมอบให้กับลูกค้าในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยใช้รถยนต์กระบะและรถยนต์เก๋งเป็นยานพาหนะในการลำเลียงยาเสพติด จึงได้ทำการวางแผนสกัดกั้นจนกระทั่งสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดได้ตามสถานที่จับกุมดังกล่าว พร้องทำการยึดของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส.ดำเนินคดี
คดีสุดท้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม Mr. kenneth Chiboke prince สัญชาติไนจีเรีย พร้อมของกลางโคคาอีน น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้มประมาณ 950 กรัม พัสดุที่ใช้ซุกซ่อนยาเสพติด 3 ชิ้น โทรศัทพ์มือถือ 3 เครื่อง เงินสดจำนวน 270,000 บาท และรถยนต์เก๋ง 1 คัน ในข้อหานำยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคคาอีน) เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และมียาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคคาอีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต
สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมภายใต้ความร่วมมือตามโครงการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด ผ่านท่าอากาศยาน ได้ร่วมกันสืบสวนเครือข่ายกลุ่มผู้ลักลอบลำเลียงยาเสพติดระหว่างประเทศ ซึ่งเมื่อเมื่อวันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจสินค้าเร่งด่วนส่งมาจากประเทศเปรู ผ่านบริษัทขนส่งสินค้าเอกชน ซึ่งสงสัยว่าอาจเป็นยาเสพติดจึงได้ร่วมกันทำการเปิดตรวจสอบ พบเป็นยาเสพติดโคเคนซุกซ่อนอยู่ในภาชนะอลูมิเนียมทรงกระบอกหุ้มหนัง จำนวน 3 ชิ้น น้ำหนักประมาณ 950 กรัม ถึงผู้รับปลายทางพัทยาใต้ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี จึงได้ร่วมกันได้ทำการขยายผล ขออนุมัติครอบครองยาเสพติดภายใต้การควบคุม นำส่งส่งผู้รับและได้รับการติดต่อนัดหมายส่งมอบพัสดุดังกล่าว และพบชายต่างชาติผิวสีขับรถยนต์เข้ามาในโรงแรมที่นัดหมายและเปิดห้องพักไว้แล้ว ก่อนจะติดต่อเจ้าหน้าที่ส่งพัสดุให้นำพัสดุไปฝากไว้กับทางโรงแรม จากนั้นเดินออกไปสังเกตการณ์ภายนอกโรงแรมและพยายามหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าทำการตรวจสอบคุมตัว และตรวจค้นพบโทรศัพท์ของกลางที่ใช้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ส่งพัสดุ และเงินสดในกระเป๋าจึงยึดไว้เป็นของกลาง ก่อนคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส.ดำเนินคดีต่อไป
นอกจากนี้ พล.ต.ท.สมหมายเปิดเผยว่า หลังจากจับนายจิรัฏฐ์ได้แล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจยังขยายผลไปถึงกลุ่มเครือข่ายที่มีการถือครองทรัพย์แทนจำนวน 2 แห่งในจังหวัดสมุทรปราการ จนพบตู้เชฟในบ้านพักทั้งสองหลัง ภายในมีของกลางดังกล่าวมูลค่ารวมกว่า 38 ล้านบาท ส่วนบ้านที่เขาไปตรวจค้นอยู่ระหว่างการตรวจสอบความเชื่อมโยงกับผู้ต้องหาว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ พล.ต.ท.สมหมายยังเปิดเผยอีกว่า การยึดทรัพย์จำนวนนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ตรวจพบ และเชื่อว่ายังมีทรัพย์อีกมากกว่า 200 ล้านบาท และแม้ว่าจะสามารถจับผู้สั่งการได้แล้ว แต่กลุ่มผู้ค้ายังมีการพัฒนารูปแบบใหม่ๆ ในการสั่งซื้อยาเสพติดมากขึ้น.
manager online
สำนักข่าวบ้านข่าว รายงาน
November 21, 2024
November 20, 2024
November 19, 2024
ชื่อ-สกุล*
อีเมล์*
เว็ปไซต์
แสดงความคิดเห็น
Notify me of follow-up comments by email.
Notify me of new posts by email.
Δ
จับไม่หมด!แก๊งขนยานรก ผ่านช่องประตูตะวันออกกลางเข้าไทย ยึดทรัพย์ร่วม200 ล้าน
บช.ปส.จับแก๊งค้ายานรก 4 คดี ยาบ้า 1,000,000 เม็ด ทั้งชาวไทยและไนจีเรีย ขนผ่านด่านตะวันออกกลางเข้าสู่ไทย พร้อมของกลางโคคาอีนอีกเป็นกิโลฯ ยึดทรัพย์รวม 200 ล้านบาท
วันนี้ (1 พ.ย.) ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ รรท.ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. พล.ต.ท.พรหมธร ภาคอัต ผู้ช่วย ผบ.ตร.พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผบช.ปส. พล.ต.ท.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รรท.ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.อาชวันต์ โชติกเสถียร รรท.รอง ผบช.ปส. พล.ต.ต.ทนงศักดิ์ ทั่งทอง รอง ผบช.ปส. พล.ต.ต.ชาตรี ไพศาลศิลป์ รอง ผบช.ปส. พล.ต.ต.ทนัย อภิชาติเสนีย์ รรท.รอง ผบช.ปส. พล.ต.ต.สุนทร เฉลิมเกียรติ ผบก.ประจำ บช.ปส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศุลกากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ร่วมกันแถลงผลการจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดรายสำคัญ จำนวน 4 คน
โดยคดีแรกสืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 1 ได้จับกุมผู้ต้องหาจำนวน 3 คน พร้อมของกลางยาบ้า 1,000,000 เม็ด ในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ต่อเนื่องพื้นที่กรุงเทพฯ และขยายผลออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการอีก 3 คน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 1 ได้ประสาน ศอ.ปส.ตร.ร่วมกันขยายผลพบว่าเป็นเครือข่ายการค้ายาเสพติดรายสำคัญเชื่อมโยงหลายพื้นที่ มีผู้ร่วมขบวนการจำนวนมาก โดยมีนายจิรัฏฐ์ เพ็ญโสภณวิชญ์ หรือนายจรัล คำสด เป็นตัวการสำคัญ ต่อมาได้มีคำสั่ง ตร.ที่ 490/2560 ลง 9 ส.ค. 60 แต่งตั้งเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวน จาก บช.ปส. และเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 1 เพื่อบูรณาการร่วมกันสืบสวนสอบสวนขยายผลนำไปสู่การขออนุมัติออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการอีก 6 คน และมีบุคคลในเครือข่ายของนายจรัล คำสด ที่มีหมายจับคดียาเสพติด อีก 2 คน รวมเป็น 11 คน จากนั้นได้มีการบูรณาการกำหนดแผนปฏิบัติการชัยยะสยบไพรี 60/6 “ผลพวงของความโลภ” เครือข่ายนายจรัล คำสด เพื่อปิดล้อมตรวจค้น จับกุมบุคคลในเครือข่ายดังกล่าวตามหมายจับ พร้อมยึดและอายัดทรัพย์สิน ที่ได้จากการค้ายาเสพติด
โดยกำหนดแผนปิดล้อมตรวจค้นจำนวน 43 จุด ระหว่างวันที่ 11-20 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้ทำการตรวจยึดทรัพย์สินในเครือข่ายนายจิรัฏฐ์ หรือเอกอ้วน เพ็ญโสภณวิชญ์ กับพวกไว้เพื่อตรวจสอบรวมมูลค่ากว่า 160 ล้านบาท โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา บก.ปส.2 ได้ทำการตรวจยึดทรัพย์สินจากตู้นิรภัยที่ยึดได้จากบ้านพักของเครือข่ายนายจิรัฏฐ์ จำนวน 2 ตู้ ไว้ตรวจสอบเพิ่มเติม ซึ่งภายในตู้แรกพบว่า มีทองคำรูปพรรณน้ำหนักประมาณ 25 บาท ราคาประมาณ 491,184 บาท และนาฬิกา 2 เรือน ส่วนอีกตู้พบทองคำแท่ง น้ำหนักประมาณ 900 บาท ราคาประมาณ 18,000,000 บาท ทองรูปพรรณ น้ำหนักประมาณ 50 บาท ราคาประมาณ 982,368 บาท และเงินสดจำนวน 18,991,000 บาท รวมมูลค่าทรัพย์สิน 38,464,552 บาท ซึ่งมูลค่าทรัพย์สินจากการปฏิบัติการชัยยะสยบไพรี 60/6 “ผลพวงของความโลภ” รวมทั้งสิ้นเกือบ 200 ล้านบาท
ต่อมาคดีที่สองเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม น.ส.นุสรา ชำกรม อายุ 26 ปี สัญชาติไทย และชายผิวสีไม่พบหนังสือเดินทางแต่ให้การอ้างว่าชื่อ นายฟรานเซส เรมิเกียส โอเคนวา (FRANCES REMIGIUS OKENWA) สัญชาติไนจีเรีย พร้อมของกลางโคคาอีนลักษณะเป็นผงสีขาวอยู่ในหีบห่อพลาสติกสีดำ ซุกซ่อนอยู่ภายในช่องลับของกระเป๋าเป้สะพายหลังสีฟ้าสลับสีเทา ยี่ห้อ SHUERBEI น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้มประมาณ 1,800 กรัม กระเป๋าเป้สะพายหลังสีฟ้าสลับสีเทา ยี่ห้อ SHUERBEI 1 ใบ โทรศัพท์มือถือ 5 เครื่อง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค 1 เครื่อง สมุดบัญชีธนาคาร 4 เล่ม บัตรกดเงินสด 6 ใบ และรถยนต์เก๋ง 1 คัน ในข้อหา ร่วมกันนำยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคคาอีน) เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคคาอีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาที่ 1 ได้บริเวณช่องตรวจศุลกากร (ช่องเขียว) โซน C ชั้น 2 ห้องโถงผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 จับกุมได้บริเวณข้างถนนรามคำแหง ฝั่งตรงข้ามห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร
โดยก่อนเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมภายใต้ความร่วมมือตามโครงการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด ผ่านท่าอากาศยาน ได้ร่วมกันสืบสวนเครือข่ายกลุ่มผู้ลักลอบลำเลียงยาเสพติดชาวแอฟริกาตะวันตก เพื่อเฝ้าระวังการลักลอบนำยาเสพติดให้โทษเข้ามาในราชอาณาจักรพบว่าเครือข่ายค้ายาเสพติดระหว่างประเทศจะลักลอบนำยาเสพติดจากอเมริกาใต้ ผ่านตะวันออกกลางเข้าสู่ประเทศไทย ในวันที่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยผู้ต้องสงสัยคือนางสาวนุสรา เป็นผู้โดยสารของสายการบินเอมิเรตส์แอร์ไลน์ส (EMIRATES AIRLINES) เที่ยวบินที่ EK376 ของวันที่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยเดินทางจากประเทศดูไบ และจะมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในวันเดียวกัน
ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เฝ้าติดตามจนกระทั่งหญิงคนดังกล่าวผ่านการตรวจลงตราของระบบตรวจคนเข้าเมือง เดินเข้าช่องตรวจศุลกากรไม่มีของต้องสำแดง (ช่องเขียว) เจ้าหน้าที่ชุดตรวจค้นจับกุม จึงได้แสดงตัวตรวจสอบเอกสาร สัมภาษณ์และตรวจสอบสัมภาระด้วยเครื่องเอกซเรย์ พบมีสิ่งผิดปกติอยู่ภายในกระเป๋าสัมภาระแบบเป้สะพายหลังสีฟ้าสลับสีเทา ยี่ห้อ SHUERBEI ที่นางสาวนุสรา นำมาจึงให้นางสาวนุสรา เปิดกระเป๋าสัมภาระให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่า มีช่องลับกระเป๋าซุกซ่อนห่อพลาสติกสีดำซุกซ่อนอยู่ภายใน จึงได้ใช้มีดเปิดหีบห่อดังกล่าวพบวัตถุต้องสงสัย ลักษณะผงสีขาวบรรจุอยู่ภายใน เมื่อนำวัตถุต้องสงสัยดังกล่าวมาทดสอบเบื้องต้นเป็นยาเสพติดประเภทโคคาอีนจึงได้จับกุมตัวไว้
จากนั้นได้ขยายผลการจับกุม ชายต่างชาติผิวสีใช้ชื่อเรียกว่า นายโบร ผู้ว่าจ้าง ได้โทรศัพท์ติดต่อมายัง น.ส.นุสรา ก่อนนัดกันให้ไปพบบริเวณห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ถนนรามคำแหง แขวงและเขตมีนบุรี กทม. จึงร่วมกันวางแผนจับกุม โดยให้นางสาวนุสราไปส่งมอบยาเสพติดตามที่นัดหมาย มีเจ้าหน้าที่คอยเฝ้าสังเกตการณ์ กระทั่งมีรถยนต์เก๋งขับมาจอดจุดที่ น.ส.นุสรากำลังเดินอยู่ข้างถนน เพื่อรับ น.ส.นุสราและกระเป๋าซุกซ่อนยาเสพติด ทางเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานเข้าทำการจับกุมและควบคุมตัวชายผิวสี ก่อนนำตัวไปตรวจค้นที่พักอาศัยภายใน จ.สมุทรสาคร แต่ไม่พบสิ่งกฎหมายแต่อย่างใด จากการตรวจค้นพบทรัพย์สินที่เชื่อว่าได้มาหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดของผู้ต้องหาที่ 2 จึงยึดไว้เพื่อตรวจสอบ จึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี
ส่วนคดีที่ 3 เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมนายสุริยา สาสนธิ อายุ 42 ปี น.ส.เทวา บรรไพร อายุ 43 ปี นายชาญวิทย์ เกษมสิน อายุ 42 ปี นายวัชราวุฒิ โคตคำ อายุ 29 ปี น.ส.ธันยชนก ผายม อายุ 29 ปี นางนิ่มนวล สมเทพ อายุ 32 ปี นายสันทัด ฉายาฤทธิ์ อายุ 25 ปี และนายจักรกริช สุขพ่วง อายุ 25 ปี พร้อมของกลางกัญชา น้ำหนักประมาณ 199.9 กิโลกรัม ยาบ้า 187 เม็ด รถยนต์เก๋ง 2 คัน รถยนต์กระบะ 1 คัน จักรยานยนต์ 1 คัน และโทรศัพท์มือถือ 10 เครื่อง ในข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 (กัญชา) และยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยจับกุมได้ที่สถานีบริการน้ำมัน PT เลขที่ 123 หมู่ที่ 4 บ้านหนองหญ้าปล้อง ต.บ่อใหญ่ อ.บรบือ จ.มหาสารคาม ต่อเนื่องสถานีบริการน้ำมัน ปตท.เลขที่ 778 หมู่ที่ 1 ถ.แจ้งสนิท ต.บรบือ อ.บรบือ จ.มหาสารคาม ต่อเนื่องบริเวณลานจอดรถห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาระยอง เลขที่ 15/11 ถนนบางนา-ตราด ต.เชิงเนิน อ.เมืองระยอง จ.ระยอง และบริเวณถนนในหมู่บ้านวัดบ้านเก่า หมู่ที่ 1 ต.ตาขัน อ.บ้านค่าย จ.ระยอง
โดยก่อนเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่าจะมีกลุ่มขบวนการลักลอบขนลำเลียงยาเสพติดให้โทษซึ่งเป็นกลุ่มคนในพื้นที่ จ.นครพนม ตามคำสั่งการของนายทุนผู้ว่าจ้างจากพื้นที่ อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม เพื่อไปส่งมอบให้กับลูกค้าในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยใช้รถยนต์กระบะและรถยนต์เก๋งเป็นยานพาหนะในการลำเลียงยาเสพติด จึงได้ทำการวางแผนสกัดกั้นจนกระทั่งสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดได้ตามสถานที่จับกุมดังกล่าว พร้องทำการยึดของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส.ดำเนินคดี
คดีสุดท้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม Mr. kenneth Chiboke prince สัญชาติไนจีเรีย พร้อมของกลางโคคาอีน น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้มประมาณ 950 กรัม พัสดุที่ใช้ซุกซ่อนยาเสพติด 3 ชิ้น โทรศัทพ์มือถือ 3 เครื่อง เงินสดจำนวน 270,000 บาท และรถยนต์เก๋ง 1 คัน ในข้อหานำยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคคาอีน) เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และมียาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคคาอีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต
สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมภายใต้ความร่วมมือตามโครงการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด ผ่านท่าอากาศยาน ได้ร่วมกันสืบสวนเครือข่ายกลุ่มผู้ลักลอบลำเลียงยาเสพติดระหว่างประเทศ ซึ่งเมื่อเมื่อวันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจสินค้าเร่งด่วนส่งมาจากประเทศเปรู ผ่านบริษัทขนส่งสินค้าเอกชน ซึ่งสงสัยว่าอาจเป็นยาเสพติดจึงได้ร่วมกันทำการเปิดตรวจสอบ พบเป็นยาเสพติดโคเคนซุกซ่อนอยู่ในภาชนะอลูมิเนียมทรงกระบอกหุ้มหนัง จำนวน 3 ชิ้น น้ำหนักประมาณ 950 กรัม ถึงผู้รับปลายทางพัทยาใต้ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี จึงได้ร่วมกันได้ทำการขยายผล ขออนุมัติครอบครองยาเสพติดภายใต้การควบคุม นำส่งส่งผู้รับและได้รับการติดต่อนัดหมายส่งมอบพัสดุดังกล่าว และพบชายต่างชาติผิวสีขับรถยนต์เข้ามาในโรงแรมที่นัดหมายและเปิดห้องพักไว้แล้ว ก่อนจะติดต่อเจ้าหน้าที่ส่งพัสดุให้นำพัสดุไปฝากไว้กับทางโรงแรม จากนั้นเดินออกไปสังเกตการณ์ภายนอกโรงแรมและพยายามหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าทำการตรวจสอบคุมตัว และตรวจค้นพบโทรศัพท์ของกลางที่ใช้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ส่งพัสดุ และเงินสดในกระเป๋าจึงยึดไว้เป็นของกลาง ก่อนคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส.ดำเนินคดีต่อไป
นอกจากนี้ พล.ต.ท.สมหมายเปิดเผยว่า หลังจากจับนายจิรัฏฐ์ได้แล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจยังขยายผลไปถึงกลุ่มเครือข่ายที่มีการถือครองทรัพย์แทนจำนวน 2 แห่งในจังหวัดสมุทรปราการ จนพบตู้เชฟในบ้านพักทั้งสองหลัง ภายในมีของกลางดังกล่าวมูลค่ารวมกว่า 38 ล้านบาท ส่วนบ้านที่เขาไปตรวจค้นอยู่ระหว่างการตรวจสอบความเชื่อมโยงกับผู้ต้องหาว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ พล.ต.ท.สมหมายยังเปิดเผยอีกว่า การยึดทรัพย์จำนวนนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ตรวจพบ และเชื่อว่ายังมีทรัพย์อีกมากกว่า 200 ล้านบาท และแม้ว่าจะสามารถจับผู้สั่งการได้แล้ว แต่กลุ่มผู้ค้ายังมีการพัฒนารูปแบบใหม่ๆ ในการสั่งซื้อยาเสพติดมากขึ้น.
manager online
สำนักข่าวบ้านข่าว รายงาน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
โรงไฟฟ้าขนอม ร่วมสืบสานประเพณีลอยกระทง สร้างความสุขทั่วอำเภอขนอม
November 21, 2024
โรงไฟฟ้าขนอม ร่วมส่งเสริมสุขภาพชุมชน สนับสนุนอบรม อสม.ใหม่/ทดแทน
November 21, 2024
อบจ.สงขลา ร่วมรับรางวัลประกาศเกียรติคุณ “ค่าของแผ่นดิน” ประจำปี 2566 ด้านการพัฒนาสังคมและส่งเสริมคุณภาพชีวิต จากโครงการ ...
November 20, 2024
อโกด้าเผย หาดใหญ่คว้าแชมป์เมืองท่องเที่ยวที่คุ้มค่าที่สุดในไทย ช่วงเทศกาลส่งท้ายปี
November 19, 2024