กฟผ. เดินหน้าขยายระบบผลิตและระบบส่งไฟฟ้า เร่งสร้างโรงไฟฟ้าทดแทนโรงไฟฟ้าพระนครใต้ โรงไฟฟ้าวังน้อย โรงไฟฟ้าบางปะกง โครงการสถานีเก็บรักษาและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติจากของเหลวเป็น ก๊าซแบบลอยน้ำ หวังสร้างความมั่นคงระบบไฟฟ้ารองรับโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกของประเทศไทย
วันที่ 25 กันยายน 2561 นายพัฒนา แสงศรีโรจน์ รองผู้ว่าการนโยบายและแผน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นประธานเปิดการสัมมนาสื่อมวลชน พร้อมทั้งร่วมเป็นวิทยากรในเวทีเสวนาหัวข้อ “ความมั่นคงพลังงานไฟฟ้าไทย รองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก” เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านสถานการณ์พลังงานไฟฟ้าของประเทศกับสื่อมวลชน โดยเฉพาะการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าเพื่อรองรับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยมี ดร.วีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู ผู้อำนวยการสำนักนโยบายไฟฟ้า สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน และ นายมนัส ตั๊นงาม รองประธานหอการค้าจังหวัดฉะเชิงเทรา ร่วมเสวนา และ คุณสร้อยฟ้า โอสุคนธ์ทิพย์ เป็นผู้ดำเนินรายการ ณ โรงแรม Pullman Pattaya Hotel G อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยมีสื่อมวลชนจังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดชลบุรี ร่วมงานจำนวนมาก
นายมนัส ตั๊นงาม รองประธานหอการค้าจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวว่า โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เป็นการพัฒนาตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน ส่งเสริมการประกอบอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และนวัตกรรมที่มีความทันสมัยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีการกำหนดที่ตั้งของเมืองใหม่จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ เมืองใหม่ฉะเชิงเทรา เมืองใหม่ระยอง เมืองใหม่พัทยา และเมืองใหม่อู่ตะเภา เพื่อรองรับประชากรที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมจำนวน 5 เท่า ในระยะเวลา 10 ปี การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานจึงถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การพัฒนาไปสู่เป้าหมายอย่างยั่งยืน ดังนั้นระบบสาธารณูปโภคที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความมั่นคงทางด้านพลังงานไฟฟ้าจะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ เพื่อสร้างรายได้ให้กับประชาชน และผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศให้สูงขึ้น ควบคู่ไปกับการพัฒนาพื้นที่ให้กลายเป็นเมืองน่าอยู่และประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี
ด้าน ดร.วีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู ผู้อำนวยการสำนักนโยบายไฟฟ้า กล่าวว่า กระทรวงพลังงานได้จัดทำค่าพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกจาก 5 กลุ่มโครงการหลัก ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐาน ธุรกิจอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว เมืองใหม่และชุมชน และเขตนวัตกรรมและ Digital Park โดยคาดว่าในปี 2579 จะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเพิ่มขึ้นจากการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว อยู่ที่ประมาณ 9,000 เมกะวัตต์ ดังนั้นแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) จึงกำหนดให้มีโรงไฟฟ้าใหม่จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ โรงไฟฟ้าทดแทนโรงไฟฟ้าบางปะกง โรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่ (IPP) 2 แห่ง และโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็ก (SPP-cogen) ซึ่งจะมีกำลังการผลิตเพียงพอรองรับการเจริญเติบโตของพื้นที่เศรษฐกิจ และสามารถส่งไฟฟ้ามายังกรุงเทพมหานครและพื้นที่ใกล้เคียงได้อีกด้วย
นายพัฒนา แสงศรีโรจน์ รองผู้ว่าการนโยบายและแผน กฟผ. กล่าวเพิ่มเติมว่า แผนยุทธศาสตร์ภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 กำหนดให้มีการส่งเสริมการลงทุนและยกระดับอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคตะวันออก ทำให้พื้นที่ดังกล่าวมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง กฟผ. จึงได้พัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าทดแทนโรงไฟฟ้าพระนครใต้ ระยะที่ 1 และ ระยะที่ 2 โครงการโรงไฟฟ้าทดแทนโรงไฟฟ้าวังน้อย ชุดที่ 1 – 2 โครงการโรงไฟฟ้าทดแทนโรงไฟฟ้าบางปะกงเครื่องที่ 1 – 2 โครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าเพื่อเสริมความมั่นคงของระบบ และการสร้างความมั่นคงด้านเชื้อเพลิงสำหรับการผลิตไฟฟ้าในระยะยาวด้วยโครงการสถานีเก็บรักษาและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติจากของเหลวเป็นก๊าซแบบลอยน้ำ (FSRU : Floating Storage and Regasification Unit) ทำให้สามารถเชื่อมั่นได้ว่าในพื้นที่ภาคตะวันออกจะมีความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าทั้งปัจจุบันและในอนาคตต่อไป ซึ่งจะส่งผลต่อความเจริญก้าวหน้าด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ.
ภาพ/ข่าว กฟผ.
สำนักข่าวบ้านข่าว รายงาน
December 5, 2025
December 4, 2025
December 3, 2025
ชื่อ-สกุล*
อีเมล์*
เว็ปไซต์
แสดงความคิดเห็น
Notify me of follow-up comments by email.
Notify me of new posts by email.
Δ
กฟผ. เตรียมพร้อมผลิตและส่งไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ รองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
กฟผ. เดินหน้าขยายระบบผลิตและระบบส่งไฟฟ้า เร่งสร้างโรงไฟฟ้าทดแทนโรงไฟฟ้าพระนครใต้ โรงไฟฟ้าวังน้อย โรงไฟฟ้าบางปะกง โครงการสถานีเก็บรักษาและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติจากของเหลวเป็น
ก๊าซแบบลอยน้ำ หวังสร้างความมั่นคงระบบไฟฟ้ารองรับโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกของประเทศไทย
วันที่ 25 กันยายน 2561 นายพัฒนา แสงศรีโรจน์ รองผู้ว่าการนโยบายและแผน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นประธานเปิดการสัมมนาสื่อมวลชน พร้อมทั้งร่วมเป็นวิทยากรในเวทีเสวนาหัวข้อ “ความมั่นคงพลังงานไฟฟ้าไทย รองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก” เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านสถานการณ์พลังงานไฟฟ้าของประเทศกับสื่อมวลชน โดยเฉพาะการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าเพื่อรองรับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยมี ดร.วีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู ผู้อำนวยการสำนักนโยบายไฟฟ้า สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน และ นายมนัส ตั๊นงาม รองประธานหอการค้าจังหวัดฉะเชิงเทรา ร่วมเสวนา และ คุณสร้อยฟ้า โอสุคนธ์ทิพย์ เป็นผู้ดำเนินรายการ ณ โรงแรม Pullman Pattaya Hotel G อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยมีสื่อมวลชนจังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดชลบุรี ร่วมงานจำนวนมาก
นายมนัส ตั๊นงาม รองประธานหอการค้าจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวว่า โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เป็นการพัฒนาตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน ส่งเสริมการประกอบอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และนวัตกรรมที่มีความทันสมัยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีการกำหนดที่ตั้งของเมืองใหม่จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ เมืองใหม่ฉะเชิงเทรา เมืองใหม่ระยอง เมืองใหม่พัทยา และเมืองใหม่อู่ตะเภา เพื่อรองรับประชากรที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมจำนวน 5 เท่า ในระยะเวลา 10 ปี การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานจึงถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การพัฒนาไปสู่เป้าหมายอย่างยั่งยืน ดังนั้นระบบสาธารณูปโภคที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความมั่นคงทางด้านพลังงานไฟฟ้าจะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ เพื่อสร้างรายได้ให้กับประชาชน และผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศให้สูงขึ้น ควบคู่ไปกับการพัฒนาพื้นที่ให้กลายเป็นเมืองน่าอยู่และประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี
ด้าน ดร.วีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู ผู้อำนวยการสำนักนโยบายไฟฟ้า กล่าวว่า กระทรวงพลังงานได้จัดทำค่าพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกจาก 5 กลุ่มโครงการหลัก ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐาน ธุรกิจอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว เมืองใหม่และชุมชน และเขตนวัตกรรมและ Digital Park โดยคาดว่าในปี 2579 จะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเพิ่มขึ้นจากการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว อยู่ที่ประมาณ 9,000 เมกะวัตต์ ดังนั้นแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) จึงกำหนดให้มีโรงไฟฟ้าใหม่จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ โรงไฟฟ้าทดแทนโรงไฟฟ้าบางปะกง โรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่ (IPP) 2 แห่ง และโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็ก (SPP-cogen) ซึ่งจะมีกำลังการผลิตเพียงพอรองรับการเจริญเติบโตของพื้นที่เศรษฐกิจ และสามารถส่งไฟฟ้ามายังกรุงเทพมหานครและพื้นที่ใกล้เคียงได้อีกด้วย
นายพัฒนา แสงศรีโรจน์ รองผู้ว่าการนโยบายและแผน กฟผ. กล่าวเพิ่มเติมว่า แผนยุทธศาสตร์ภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 กำหนดให้มีการส่งเสริมการลงทุนและยกระดับอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคตะวันออก ทำให้พื้นที่ดังกล่าวมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง กฟผ. จึงได้พัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าทดแทนโรงไฟฟ้าพระนครใต้ ระยะที่ 1 และ ระยะที่ 2 โครงการโรงไฟฟ้าทดแทนโรงไฟฟ้าวังน้อย ชุดที่ 1 – 2 โครงการโรงไฟฟ้าทดแทนโรงไฟฟ้าบางปะกงเครื่องที่ 1 – 2 โครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าเพื่อเสริมความมั่นคงของระบบ และการสร้างความมั่นคงด้านเชื้อเพลิงสำหรับการผลิตไฟฟ้าในระยะยาวด้วยโครงการสถานีเก็บรักษาและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติจากของเหลวเป็นก๊าซแบบลอยน้ำ (FSRU : Floating Storage and Regasification Unit) ทำให้สามารถเชื่อมั่นได้ว่าในพื้นที่ภาคตะวันออกจะมีความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าทั้งปัจจุบันและในอนาคตต่อไป ซึ่งจะส่งผลต่อความเจริญก้าวหน้าด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ.
สำนักข่าวบ้านข่าว รายงาน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มูลนิธินายช่างไทยฯ ผนึกกำลังจิตอาสา กฟผ. ระดมกำลังเร่งฟื้นฟูระบบไฟฟ้าในพื้นที่ประสบอุทกภัย จ.สงขลา
December 5, 2025
ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) จัดการแสดงดนตรีบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ...
December 4, 2025
ท่าอากาศยานหาดใหญ่ส่งต่อถุงยังชีพ AOT ให้ชุมชนรอบสนามบิน
December 3, 2025
โรงเรียน นานาชาติ The American School of Bangkok ...
December 3, 2025