เมื่อปี 2558 – 2560 ที่ผ่านมา มีการขุดค้นโบราณสถานหมายเลข 14 ของเมืองโบราณอู่ทอง ที่ตั้งอยู่บริเวณติดกับคูเมืองฝั่งนอกเกาะเมืองทางทิศตะวันตก โดยมีคุณศุภชัย นวการพิศุทธิ์ นักโบราณคดีเป็นผู้ดำเนินการขุดค้น ปรากฏเป็นซากอาคารก่ออิฐ ที่มีกระเบื้องหลังคาแผ่นหนาแตกหักจมลงไปใต้พื้นดินเป็นจำนวนมาก และเมื่อยิ่งขุดลงไปในช่วงแรกทดสอบชั้นดิน 5 * 5 เมตร ก็ยิ่งพบกระเบื้องจมลงไปในชั้นดินที่ต่ำกว่าระดับลานปูอิฐด้านหน้าของอาคาร (ฝั่งทิศใต้) จนลึกถึงระดับประมาณ 3 เมตร มาหยุดที่พื้นของอาคารที่เป็นแผ่นอิฐปูพื้นไว้เป็นลานกว้าง . ในกองดินที่มีกระเบื้องหลังคาทับถมบนพื้นอาคาร ขุดลงมาจนถึงบริเวณข้างผนังกำแพงของอาคารที่จมอยู่ใต้ดิน ได้พบ “ตะคันดินเผา” สำหรับใส่น้ำมันตามไฟหรือเทียนอบ จุดเป็นประทีปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งที่สมบูรณ์และแตกหักเป็นจำนวนมาก อีกทั้งเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ถัง ประติมากรรมปูนปั้นรูปบุคคล พระพิมพ์ดินเผา ลูกกรงมะหวด แท่งดินเผารูปกรวยประดับสันหลังคา ฯลฯ . อีกทั้งยังพบ “ภาพปั้นดินเผา” (Terracotta plaques) รูปอดีตพระพุทธเจ้า จำนวนมากกว่า 100 องค์ ในสภาพถูกทุบทำลายจนเสียหาย ทิ้งกระจัดกระจายไปทั่วพื้นอาคารครับ . และเมื่อมีการขุดขยายพื้นที่ไปทางเหนือในช่วงปลายปี 2559 ก็พบภาพปั้นดินเผาและวัตถุโบราณที่คล้ายคลึงกันเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก อีกทั้งชิ้นส่วนของธรรมจักร พระพุทธรูปสำริดที่หักกระจายอยู่บนพื้นลาน . คงสันนิษฐานได้ว่า ภาพปั้นดินเผารูปพระพุทธเจ้าและรูปปูนปั้นบุคคลแสดงการอัญชลีทั้งหมดนี้ คงเคยถูกใช้ประดับอยู่โดยรอบผนัง “ชั้นใต้ดิน” ของวิหารทวารวดี อาคารก่ออิฐที่มีความยาววัดจากผนังภายในยาว 30 เมตร กว้างประมาณ 10 เมตร ฝั่งทิศเหนือของอาคารมีร่องรอยของสถูปทรงกลมเป็นเจติยะสำคัญของศาสนสถาน โดยพบชิ้นส่วนก่อสร้างเป็นศิลาแลง เช่น ยอดเจดีย์ หินรูปโค้งเป็นฐาน รวมทั้งปูนปั้นฉาบประดับตัวเจดีย์และอาคารในส่วนต่าง ๆ แตกกระจายอยู่โดยรอบ อีกทั้งยังพบร่องรอยการขุดเจาะลงมาเพื่อค้นหาสิ่งของมีค่าที่บริเวณกลางเจดีย์อีกด้วย … ลักษณะเป็นพระพุทธรูปดินเผา เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิแบบขัดสมาธิเพชร หงายพระบาทออกให้เห็นทั้งสองด้าน (อีกด้านหนึ่งทำเป็นจีวรคลุมไว้จึงมองไม่เห็นพระบาท) พุทธศิลป์ในอิทธิพลทางศิลปะที่ผ่านมาจากปาละและพุกาม ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 14 ครับ … การลดระดับพื้นอาคารลงไปใต้ระดับผิวดินปกติและยกกำแพงอิฐเสริมหินที่กรุผนังดินขึ้นมาในระดับไม่สูงมากนักจากพื้นบน แต่ก็รวมกันแล้ว สูงประมาณ 4 เมตร จากระดับพื้นอาคารใต้ดิน น่าจะเป็นเทคนิคการเพิ่มความกว้างขวางของคูหาให้มีความโอ่งโถงมากขึ้นโดยไม่ต้องยกเสาตั้งโครงสร้างอาคารเครื่องไม้ขึ้นไปให้สูงจากระดับพื้นมากนัก ซึ่งในยุคโบราณที่เทคโนโลยีมีจำกัด (ในแต่ละพื้นที่ อาจมีช่างฝีมือแตกต่างกัน) การก่อสร้างอาคารเครื่องไม้ขนาดใหญ่มุงกระเบื้อง อาจไม่สะดวกต่อการรับแรงกระแทกของพายุฝนในช่วงฤดูมรสุมหรือพายุฤดูร้อน …. ภาพวาดสันนิษฐาน แสดงให้เห็นว่า บริเวณด้านหน้าของอาคารเป็นลานปูพื้นอิฐที่มีหลังคาโปร่งคลุมทรงหน้าจั่ว มีพระพุทธรูปยืนพิงผนังประภามณฑลอยู่ด้านหลัง ตามร่องรอยของฐานบัวครึ่งวงกลมที่พบ ถัดมาเป็นบันไดทำจากไม้ต่อลงมายังอาคารที่มีระดับต่ำกว่าพื้นบน 2.5 เมตร บนผนังประดับด้วยรูปอดีตพระพุทธเจ้าและรูปบุคคลในลวดบัวโดยรอบกำแพง ผนังยกเสาไม้ไม่สูงนัก อาจทำเป็นผนังทึบ ต่อหัวเสาเป็นโครงไม้ ทำขื่อคาน อะเส เสาตั้ง ยอดเป็นอกไก่ วางจันทันรับไม้แปเพื่อมุงหลังคากระเบื้องแผ่นหนาขนาด กว้างยาว 17 * 35 เซนติเมตร หนา 2.3 เซนติเมตร โดยกระเบื้องยังปรากฏรูสำหรับใส่ไม้หมุด 2 รู สำหรับเข้าเดือยแขวนบนไม้แปอยู่ฝั่งหนึ่ง แสดงว่าเป็นกระเบื้องที่มุมหลังคาแบบลาดเทไปด้านหนึ่งหรือหลังคาแบบหน้าจั่วครับ .. หลังคาของอาคารอาจมีหลังคาหน้าจั่วต่อขึ้นไปสูงและแผ่ปกคลุมลงมานอกตัวผนัง โดยมีเสารองรับอยู่นอกอาคารอีกแถวหนึ่ง ลักษณะเดียวกันกับหลังคาทรง “ม้าต่างไหม” วิหารโบราณในเขตล้านนา – ล้านช้าง .. ที่ตรงกลางค่อนไปทางเหนือของพื้นอาคารเป็นที่ตั้งของสถูปเจดีย์อันเป็นประธานของศาสนสถาน มีสัณฐานกลม มีปูนปั้นประดับทั้งองค์ ลักษณะนี้คล้ายคลึงกับวิหารในพุกามและภาคเหนือหลายแห่ง อย่างวิหารหลวง วัดพระธาตุลำปางหลวง ที่เป็นวิหารขนาดใหญ่เปิดโล่ง มีกู่ (เจดีย์) เป็นประธานของพระวิหาร . แต่กระนั้น ด้วยเพราะวิหารทวารวดีหลังนี้สร้างให้พื้นอาคารจมลงไปใต้ดิน อีกทั้งยังมีภาพประติมากรรมทางศาสนาประดับประดาบนผนังอยู่รายล้อม จึงอาจพาให้หลงใหล จินตนาการไปถึงหมู่ถ้ำโบราณในอินเดีย อย่าง อชันตา กันเหรี ที่มีสถูปเจติยะเป็นประธาน และมีรูปสลักตามคติความเชื่อที่งดงามอยู่บนผนังถ้ำ ภายในคูหาที่มีเพียงแสงสลัวลอดผ่านเข้าไปภายใน . ด้วยเหตุนี้ วิหารใต้ดินในยุคทวารวดีนี้ จึงถูกเรียกอย่างกิ๊บเก๋ว่า “วิหารถ้ำ” แห่งเมืองโบราณอู่ทอง . ส่วน “ภาพปั้นดินเผา” และวัตถุโบราณสำคัญที่ขุดค้นได้จากวิหารถ้ำนี้ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ครับ
วรณัย พงศาชลากร EJeab Academy เพราะทุกที่มีเรื่องราวและเรื่องเล่า
สำนักข่าวบ้านข่าว รายงาน
December 5, 2025
December 4, 2025
December 3, 2025
ชื่อ-สกุล*
อีเมล์*
เว็ปไซต์
แสดงความคิดเห็น
Notify me of follow-up comments by email.
Notify me of new posts by email.
Δ
วิหารใต้ดิน ยุคทวารวดี ที่เมืองโบราณอู่ทอง
เมื่อปี 2558 – 2560 ที่ผ่านมา มีการขุดค้นโบราณสถานหมายเลข 14 ของเมืองโบราณอู่ทอง ที่ตั้งอยู่บริเวณติดกับคูเมืองฝั่งนอกเกาะเมืองทางทิศตะวันตก โดยมีคุณศุภชัย นวการพิศุทธิ์ นักโบราณคดีเป็นผู้ดำเนินการขุดค้น ปรากฏเป็นซากอาคารก่ออิฐ ที่มีกระเบื้องหลังคาแผ่นหนาแตกหักจมลงไปใต้พื้นดินเป็นจำนวนมาก และเมื่อยิ่งขุดลงไปในช่วงแรกทดสอบชั้นดิน 5 * 5 เมตร ก็ยิ่งพบกระเบื้องจมลงไปในชั้นดินที่ต่ำกว่าระดับลานปูอิฐด้านหน้าของอาคาร (ฝั่งทิศใต้) จนลึกถึงระดับประมาณ 3 เมตร มาหยุดที่พื้นของอาคารที่เป็นแผ่นอิฐปูพื้นไว้เป็นลานกว้าง
.
ในกองดินที่มีกระเบื้องหลังคาทับถมบนพื้นอาคาร ขุดลงมาจนถึงบริเวณข้างผนังกำแพงของอาคารที่จมอยู่ใต้ดิน ได้พบ “ตะคันดินเผา” สำหรับใส่น้ำมันตามไฟหรือเทียนอบ จุดเป็นประทีปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งที่สมบูรณ์และแตกหักเป็นจำนวนมาก อีกทั้งเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ถัง ประติมากรรมปูนปั้นรูปบุคคล พระพิมพ์ดินเผา ลูกกรงมะหวด แท่งดินเผารูปกรวยประดับสันหลังคา ฯลฯ
.
อีกทั้งยังพบ “ภาพปั้นดินเผา” (Terracotta plaques) รูปอดีตพระพุทธเจ้า จำนวนมากกว่า 100 องค์ ในสภาพถูกทุบทำลายจนเสียหาย ทิ้งกระจัดกระจายไปทั่วพื้นอาคารครับ
.
และเมื่อมีการขุดขยายพื้นที่ไปทางเหนือในช่วงปลายปี 2559 ก็พบภาพปั้นดินเผาและวัตถุโบราณที่คล้ายคลึงกันเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก อีกทั้งชิ้นส่วนของธรรมจักร พระพุทธรูปสำริดที่หักกระจายอยู่บนพื้นลาน
.
คงสันนิษฐานได้ว่า ภาพปั้นดินเผารูปพระพุทธเจ้าและรูปปูนปั้นบุคคลแสดงการอัญชลีทั้งหมดนี้ คงเคยถูกใช้ประดับอยู่โดยรอบผนัง “ชั้นใต้ดิน” ของวิหารทวารวดี อาคารก่ออิฐที่มีความยาววัดจากผนังภายในยาว 30 เมตร กว้างประมาณ 10 เมตร ฝั่งทิศเหนือของอาคารมีร่องรอยของสถูปทรงกลมเป็นเจติยะสำคัญของศาสนสถาน โดยพบชิ้นส่วนก่อสร้างเป็นศิลาแลง เช่น ยอดเจดีย์ หินรูปโค้งเป็นฐาน รวมทั้งปูนปั้นฉาบประดับตัวเจดีย์และอาคารในส่วนต่าง ๆ แตกกระจายอยู่โดยรอบ อีกทั้งยังพบร่องรอยการขุดเจาะลงมาเพื่อค้นหาสิ่งของมีค่าที่บริเวณกลางเจดีย์อีกด้วย
…
ลักษณะเป็นพระพุทธรูปดินเผา เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิแบบขัดสมาธิเพชร หงายพระบาทออกให้เห็นทั้งสองด้าน (อีกด้านหนึ่งทำเป็นจีวรคลุมไว้จึงมองไม่เห็นพระบาท) พุทธศิลป์ในอิทธิพลทางศิลปะที่ผ่านมาจากปาละและพุกาม ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 14 ครับ
…
การลดระดับพื้นอาคารลงไปใต้ระดับผิวดินปกติและยกกำแพงอิฐเสริมหินที่กรุผนังดินขึ้นมาในระดับไม่สูงมากนักจากพื้นบน แต่ก็รวมกันแล้ว สูงประมาณ 4 เมตร จากระดับพื้นอาคารใต้ดิน น่าจะเป็นเทคนิคการเพิ่มความกว้างขวางของคูหาให้มีความโอ่งโถงมากขึ้นโดยไม่ต้องยกเสาตั้งโครงสร้างอาคารเครื่องไม้ขึ้นไปให้สูงจากระดับพื้นมากนัก ซึ่งในยุคโบราณที่เทคโนโลยีมีจำกัด (ในแต่ละพื้นที่ อาจมีช่างฝีมือแตกต่างกัน) การก่อสร้างอาคารเครื่องไม้ขนาดใหญ่มุงกระเบื้อง อาจไม่สะดวกต่อการรับแรงกระแทกของพายุฝนในช่วงฤดูมรสุมหรือพายุฤดูร้อน
….
ภาพวาดสันนิษฐาน แสดงให้เห็นว่า บริเวณด้านหน้าของอาคารเป็นลานปูพื้นอิฐที่มีหลังคาโปร่งคลุมทรงหน้าจั่ว มีพระพุทธรูปยืนพิงผนังประภามณฑลอยู่ด้านหลัง ตามร่องรอยของฐานบัวครึ่งวงกลมที่พบ ถัดมาเป็นบันไดทำจากไม้ต่อลงมายังอาคารที่มีระดับต่ำกว่าพื้นบน 2.5 เมตร บนผนังประดับด้วยรูปอดีตพระพุทธเจ้าและรูปบุคคลในลวดบัวโดยรอบกำแพง ผนังยกเสาไม้ไม่สูงนัก อาจทำเป็นผนังทึบ ต่อหัวเสาเป็นโครงไม้ ทำขื่อคาน อะเส เสาตั้ง ยอดเป็นอกไก่ วางจันทันรับไม้แปเพื่อมุงหลังคากระเบื้องแผ่นหนาขนาด กว้างยาว 17 * 35 เซนติเมตร หนา 2.3 เซนติเมตร โดยกระเบื้องยังปรากฏรูสำหรับใส่ไม้หมุด 2 รู สำหรับเข้าเดือยแขวนบนไม้แปอยู่ฝั่งหนึ่ง แสดงว่าเป็นกระเบื้องที่มุมหลังคาแบบลาดเทไปด้านหนึ่งหรือหลังคาแบบหน้าจั่วครับ
..
หลังคาของอาคารอาจมีหลังคาหน้าจั่วต่อขึ้นไปสูงและแผ่ปกคลุมลงมานอกตัวผนัง โดยมีเสารองรับอยู่นอกอาคารอีกแถวหนึ่ง ลักษณะเดียวกันกับหลังคาทรง “ม้าต่างไหม” วิหารโบราณในเขตล้านนา – ล้านช้าง
..
ที่ตรงกลางค่อนไปทางเหนือของพื้นอาคารเป็นที่ตั้งของสถูปเจดีย์อันเป็นประธานของศาสนสถาน มีสัณฐานกลม มีปูนปั้นประดับทั้งองค์ ลักษณะนี้คล้ายคลึงกับวิหารในพุกามและภาคเหนือหลายแห่ง อย่างวิหารหลวง วัดพระธาตุลำปางหลวง ที่เป็นวิหารขนาดใหญ่เปิดโล่ง มีกู่ (เจดีย์) เป็นประธานของพระวิหาร
.
แต่กระนั้น ด้วยเพราะวิหารทวารวดีหลังนี้สร้างให้พื้นอาคารจมลงไปใต้ดิน อีกทั้งยังมีภาพประติมากรรมทางศาสนาประดับประดาบนผนังอยู่รายล้อม จึงอาจพาให้หลงใหล จินตนาการไปถึงหมู่ถ้ำโบราณในอินเดีย อย่าง อชันตา กันเหรี ที่มีสถูปเจติยะเป็นประธาน และมีรูปสลักตามคติความเชื่อที่งดงามอยู่บนผนังถ้ำ ภายในคูหาที่มีเพียงแสงสลัวลอดผ่านเข้าไปภายใน
.
ด้วยเหตุนี้ วิหารใต้ดินในยุคทวารวดีนี้ จึงถูกเรียกอย่างกิ๊บเก๋ว่า “วิหารถ้ำ” แห่งเมืองโบราณอู่ทอง
.
ส่วน “ภาพปั้นดินเผา” และวัตถุโบราณสำคัญที่ขุดค้นได้จากวิหารถ้ำนี้ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ครับ
เพราะทุกที่มีเรื่องราวและเรื่องเล่า
สำนักข่าวบ้านข่าว รายงาน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มูลนิธินายช่างไทยฯ ผนึกกำลังจิตอาสา กฟผ. ระดมกำลังเร่งฟื้นฟูระบบไฟฟ้าในพื้นที่ประสบอุทกภัย จ.สงขลา
December 5, 2025
ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) จัดการแสดงดนตรีบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ...
December 4, 2025
ท่าอากาศยานหาดใหญ่ส่งต่อถุงยังชีพ AOT ให้ชุมชนรอบสนามบิน
December 3, 2025
โรงเรียน นานาชาติ The American School of Bangkok ...
December 3, 2025