“สามารถ” แนะสังคมจับตาประมูล “บีอาร์ที” จี้ กทม.ตอบ 2 ข้อ หวั่นล็อกสเปก ให้เจ้าเก่า “บีทีเอส”
เมื่อวันที่ 28 เม.ย.60 นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตั้งข้อสังเกตถึงการประมูลรถประจำทางด่วนพิเศษ (บีอาร์ที ของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ว่า โครงการนี้ กทม.ได้ว่าจ้างบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) ซึ่งเป็นบริษัทของ กทม.เป็นผู้บริหารจัดการเดินรถตาม สัญญาจ้างบริหารจัดการเดินรถ เลขที่ 22-13-53 ลงวันที่ 10 ก.พ. 2553 ว่าจ้างรวม 7 ปี ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค. 53 ถึง 28 พ.ค. 60 เป็นเงิน 1,553,267,380 บาท หรือเฉลี่ยปีละราว 222 ล้านบาท ที่สำคัญ ค่าจ้างจำนวนนี้ได้รวมค่าจัดหารถบีอาร์ทีจำนวน 25-30 คัน วงเงิน 213-249 ล้านบาท ไว้ด้วยแล้ว
ขณะเดียวกัน ในวันที่ 10 ก.พ. 53 เคที ได้ทำสัญญาว่าจ้างบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอส เป็นผู้เดินรถแทนตนเองตามสัญญาจ้างผู้เดินรถพร้อมจัดหารถโดยสารเลขที่ กธ.ส.001/53 เป็นเวลา 7 ปี ระหว่างวันที่ 29 พ.ค. 53-28 พ.ค. 60 เช่นเดียวกันโดยสัญญาฉบับนี้ระบุให้บีทีเอสส่งมอบรถบีอาร์ทีจำนวน 10 คัน ภายในวันที่ 24 เม.ย.53 และอีก 15 คัน ภายในวันที่ 30 เม.ย.53 โดยใช้เงินที่เคทีได้รับมาจาก กทม. แต่ได้รับข้อมูลว่ารถบีอาร์ทีทั้งหมดแทนที่จะตกเป็นของ กทม. กลับเป็นของบีทีเอส ซึ่งได้ตรวจสอบข้อมูลกับกรมการขนส่งทางบกแล้ว จึงเป็นเรื่องแปลกเพราะใช้เงินของ กทม.ซื้อ โดย 28 พ.ค.60 สัญญาว่าจ้างเคที และบีทีเอสจะสิ้นสุด กทม.มอบหมายให้เคที บริหารจัดการรถต่อไป โดยมีผู้สนใจเข้าประมูลแข่งรวม 4 ราย รวมทั้งบีทีเอสด้วย
นายสามารถ กล่าวต่อว่า ในการเปิดประมูลปกติต้องเปิดกว้าง เป็นธรรมทั้งด้านราคาและคุณภาพ แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะข้อกำหนดของผู้ว่าจ้าง หรือทีโออาร์ที่ เคทีใช้ในการประมูล มีสาระสำคัญที่ไม่เป็นธรรมในข้อ 9.6 ที่ระบุว่า “ผู้รับสิทธิจะต้องจัดให้มีรถโดยสารอย่างน้อย 25 คัน โดยรถโดยสารมีคุณสมบัติที่สำคัญคือ 1. ลักษณะของตัวรถโดยสารเป็นไปตามมาตรฐานของกรมการขนส่งทางบก 2. มีประตูทางเข้า-ออก ด้านขวาอย่างน้อย 1 ฝั่ง 3. พื้นรถมีความสูงจากระดับพื้นถนน 90 เซนติเมตร เพื่อให้อยู่ในระดับเดียวกับชานชาลาสถานี” ซึ่งเป็นสเปกรถเฉพาะของบีทีเอส เท่านั้นที่สามารถร่วมประมูลได้ เพราะมีรถสเปกนี้อยู่ในมือแล้ว
ขณะที่อีก 3 บริษัทไม่สามารถจัดหารถสเปกดังกล่าวได้ทันเวลา ที่สุดจะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้บริการจึงขอเรียกร้องให้ กทม.ดำเนินการ 1. ตรวจสอบว่าใครเป็นเจ้าของรถบีอาร์ทีกันแน่ เพราะใช้เงินของ กทม.ซื้อรถบีอาร์ทีทั้งหมด 2. แก้ไขทีโออาร์ให้เกิดความเป็นธรรม ให้มีการแข่งขันทั้งด้านราคาและคุณภาพเพื่อประโยชน์ต่อผู้ใช้บริการ หาก กทม. ไม่สามารถแก้ไขทีโออาร์ได้ ก็เซ็นสัญญาว่าจ้างบีทีเอสโดยตรงไปเลย จะเปิดประมูลให้เสียเวลาทำไม เพราะบริษัทอื่นไม่สามารถเข้าร่วมประมูลด้วยได้ ที่พูดเพราะเป็นห่วง กทม. ที่อาจจะถูกกล่าวหาได้ว่าล็อกสเปกให้บีทีเอสเท่านั้นเอง.
ภาพ/ข่าว ไทยรัฐออนไลน์
December 5, 2025
December 4, 2025
December 3, 2025
ชื่อ-สกุล*
อีเมล์*
เว็ปไซต์
แสดงความคิดเห็น
Notify me of follow-up comments by email.
Notify me of new posts by email.
Δ
‘สามารถ’ จี้จับตาประมูล ‘บีอาร์ที’ ส่อล็อกสเปกให้เจ้าเก่า ‘บีทีเอส’
“สามารถ” แนะสังคมจับตาประมูล “บีอาร์ที” จี้ กทม.ตอบ 2 ข้อ หวั่นล็อกสเปก ให้เจ้าเก่า “บีทีเอส”
เมื่อวันที่ 28 เม.ย.60 นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตั้งข้อสังเกตถึงการประมูลรถประจำทางด่วนพิเศษ (บีอาร์ที ของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ว่า โครงการนี้ กทม.ได้ว่าจ้างบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) ซึ่งเป็นบริษัทของ กทม.เป็นผู้บริหารจัดการเดินรถตาม สัญญาจ้างบริหารจัดการเดินรถ เลขที่ 22-13-53 ลงวันที่ 10 ก.พ. 2553 ว่าจ้างรวม 7 ปี ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค. 53 ถึง 28 พ.ค. 60 เป็นเงิน 1,553,267,380 บาท หรือเฉลี่ยปีละราว 222 ล้านบาท ที่สำคัญ ค่าจ้างจำนวนนี้ได้รวมค่าจัดหารถบีอาร์ทีจำนวน 25-30 คัน วงเงิน 213-249 ล้านบาท ไว้ด้วยแล้ว
ขณะเดียวกัน ในวันที่ 10 ก.พ. 53 เคที ได้ทำสัญญาว่าจ้างบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอส เป็นผู้เดินรถแทนตนเองตามสัญญาจ้างผู้เดินรถพร้อมจัดหารถโดยสารเลขที่ กธ.ส.001/53 เป็นเวลา 7 ปี ระหว่างวันที่ 29 พ.ค. 53-28 พ.ค. 60 เช่นเดียวกันโดยสัญญาฉบับนี้ระบุให้บีทีเอสส่งมอบรถบีอาร์ทีจำนวน 10 คัน ภายในวันที่ 24 เม.ย.53 และอีก 15 คัน ภายในวันที่ 30 เม.ย.53 โดยใช้เงินที่เคทีได้รับมาจาก กทม. แต่ได้รับข้อมูลว่ารถบีอาร์ทีทั้งหมดแทนที่จะตกเป็นของ กทม. กลับเป็นของบีทีเอส ซึ่งได้ตรวจสอบข้อมูลกับกรมการขนส่งทางบกแล้ว จึงเป็นเรื่องแปลกเพราะใช้เงินของ กทม.ซื้อ โดย 28 พ.ค.60 สัญญาว่าจ้างเคที และบีทีเอสจะสิ้นสุด กทม.มอบหมายให้เคที บริหารจัดการรถต่อไป โดยมีผู้สนใจเข้าประมูลแข่งรวม 4 ราย รวมทั้งบีทีเอสด้วย
นายสามารถ กล่าวต่อว่า ในการเปิดประมูลปกติต้องเปิดกว้าง เป็นธรรมทั้งด้านราคาและคุณภาพ แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะข้อกำหนดของผู้ว่าจ้าง หรือทีโออาร์ที่ เคทีใช้ในการประมูล มีสาระสำคัญที่ไม่เป็นธรรมในข้อ 9.6 ที่ระบุว่า “ผู้รับสิทธิจะต้องจัดให้มีรถโดยสารอย่างน้อย 25 คัน โดยรถโดยสารมีคุณสมบัติที่สำคัญคือ 1. ลักษณะของตัวรถโดยสารเป็นไปตามมาตรฐานของกรมการขนส่งทางบก 2. มีประตูทางเข้า-ออก ด้านขวาอย่างน้อย 1 ฝั่ง 3. พื้นรถมีความสูงจากระดับพื้นถนน 90 เซนติเมตร เพื่อให้อยู่ในระดับเดียวกับชานชาลาสถานี” ซึ่งเป็นสเปกรถเฉพาะของบีทีเอส เท่านั้นที่สามารถร่วมประมูลได้ เพราะมีรถสเปกนี้อยู่ในมือแล้ว
ขณะที่อีก 3 บริษัทไม่สามารถจัดหารถสเปกดังกล่าวได้ทันเวลา ที่สุดจะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้บริการจึงขอเรียกร้องให้ กทม.ดำเนินการ 1. ตรวจสอบว่าใครเป็นเจ้าของรถบีอาร์ทีกันแน่ เพราะใช้เงินของ กทม.ซื้อรถบีอาร์ทีทั้งหมด 2. แก้ไขทีโออาร์ให้เกิดความเป็นธรรม ให้มีการแข่งขันทั้งด้านราคาและคุณภาพเพื่อประโยชน์ต่อผู้ใช้บริการ หาก กทม. ไม่สามารถแก้ไขทีโออาร์ได้ ก็เซ็นสัญญาว่าจ้างบีทีเอสโดยตรงไปเลย จะเปิดประมูลให้เสียเวลาทำไม เพราะบริษัทอื่นไม่สามารถเข้าร่วมประมูลด้วยได้ ที่พูดเพราะเป็นห่วง กทม. ที่อาจจะถูกกล่าวหาได้ว่าล็อกสเปกให้บีทีเอสเท่านั้นเอง.
ภาพ/ข่าว ไทยรัฐออนไลน์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มูลนิธินายช่างไทยฯ ผนึกกำลังจิตอาสา กฟผ. ระดมกำลังเร่งฟื้นฟูระบบไฟฟ้าในพื้นที่ประสบอุทกภัย จ.สงขลา
December 5, 2025
ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) จัดการแสดงดนตรีบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ...
December 4, 2025
ท่าอากาศยานหาดใหญ่ส่งต่อถุงยังชีพ AOT ให้ชุมชนรอบสนามบิน
December 3, 2025
โรงเรียน นานาชาติ The American School of Bangkok ...
December 3, 2025