วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2558 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติประจำจังหวัดยะลา (สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดยะลา) ณ ห้องประชุมเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลาเขต 1 บันนังสตา สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดยะลา ได้เปิดโครงการนำร่อง “ครอบครัวท้องถิ่นบันนังสตาโปร่งใส ห่างไกลคอร์รัปชัน” โดยมีผู้บริหารและรองผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องในเขตอำเภอบันนังสตาร่วมทั้งคู่สมรส ร่วมประชุม ป้องกันทุจริตเชิงรุก โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเสริมสร้างความโปร่งใสในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสร้างความตระหนักในปัญหาการทุจริต ซึ่งประกอบไปด้วย

1. นายอาบีดิง กาจะลากี นายกเทศมนตรีตำบลบันนังสตา
2. นายอับดุลวอฟอร์ มะแตหะ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบันนังสตา
3. นายอับดุลกอเดร์ อาลีมามะ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบาเจาะ
4. นายนายรอซะ หะมะ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลตาเนาะปูเต๊ะ
5. นายกามิน มุชิ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลตลิ่งชัน
6. นายประจักร์ ชาติมนตรี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลถ้ำทะลุ

ในการดำเนินโครงการดังกล่าวโดยมีการให้ความรู้เรื่องการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและส่วนรวม โดยมีการยกตัวอย่างการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ส่วนรวม ความผิดของผู้ที่กระทำการทุจริตที่เกิดจากคู่สมรส เพราะการทุจริต นั้น อาจทุจริตเป็นตัวเงินหรือเป็นประโยชน์อย่างอื่นก็ได้ ผู้ที่ทำความผิดจะต้องได้รับโทษทางอาญา พร้อมอบรมเรื่องคำสอนตามศาสนาในการทุจริต การทุจริตของศาสนาอิสลามคือ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า : من غش فليس منا

ความว่า: ใครก็ตามที่ทำการทุจริต เขาผู้นั้นไม่ใช่พรรคพวกของเรา

มาตรการทางกฎหมายในการป้องกันการทุจริตที่สำคัญที่เป็นเครื่องมือการแก้ทุจริตกับท้องถิ่นคือ การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม ใช้บังคับเพิ่มเติมกับผู้บริหารและผู้บริหารส่วนท้องถิ่นทั้งหมด มาตรา ๑๐๐ ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดดำเนินกิจการดังต่อไปนี้ (๑) เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบหรือดำเนินคดี (๒) เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่เข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี (๓) รับสัมปทานหรือคงถือไว้ซึ่งสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐรัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐรัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นอันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม หรือเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว

(๔) เข้าไปมีส่วนได้เสียในฐานะเป็นกรรมการ ที่ปรึกษา ตัวแทน พนักงานหรือลูกจ้างในธุรกิจของเอกชนซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับ ดูแล ควบคุม หรือตรวจสอบของหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นสังกัดอยู่หรือปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งโดยสภาพของผลประโยชน์ของธุรกิจของเอกชนนั้นอาจขัดหรือแย้งต่อประโยชน์ส่วนรวม หรือประโยชน์ทางราชการหรือกระทบต่อความมีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้น

*** (ใช้บังคับกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ผู้นั้นเป็นผู้บริหารและรองผู้บริหาร)

อีกทั้ง ใช้บังคับกับคู่สมรสของเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้บริหารและรองผู้บริหาร โดยให้ถือว่าการดำเนินกิจการของคู่สมรสดังกล่าว เป็นการดำเนินกิจการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ

มาตรา ๑๐๑ ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๑๐๐ มาใช้บังคับกับการดำเนินกิจการของผู้ซึ่งพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมาแล้วยังไม่ถึงสองปีโดยอนุโลม เว้นแต่การเป็นผู้ถือหุ้นไม่เกินร้อยละห้าของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่จำหน่ายได้ในบริษัทมหาชนจำกัด ซึ่งมิใช่บริษัทที่เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๑๐๐ (๒) ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

(คดีสำคัญ เช่น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาให้จำคุก พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นเพราะเหตุทุจริตซื้อขายที่ดินที่รัชดาภิเษก โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีความเห็นว่า พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร ขณะกระทำความผิดเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ลงลายมือชื่อในเอกสารให้ความยินยอมแก่คู่สมรส คือ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ให้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินที่รัชดาภิเษกแปลงพิพาท ซึ่งมีคู่สัญญา คือ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่อยู่ในความกำกับดูแลของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี ศาลเห็นว่าเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 100 (1) วรรค 3 และมาตรา 122 วรรค 1 แล้วพิพากษาให้ลงโทษจำคุก พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร 2 ปี คือ ไม่มีการรอลงอาญา)

ในการได้ให้คู่สมรสของผู้บริหารและรองผู้บริหารต่างๆได้เข้าใจในบทบาทอำนาจหน้าที่ของนายกองค์กรปกครองส่วนท้องว่าต้องกำหนด นโยบายโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย และรับผิดชอบในการบริหารราชการของท้องถิ่นให้เป็นไปตามกฎหมาย นโยบาย แผนพัฒนา อบต. ข้อบัญญัติ ระเบียบ และข้อบังคับทางราชการ ยึดหลักคุณธรรม จริยธรรม และหลักความเสียสละ การคำนึงถึงประโยชน์ส่วนบุคคลมากกว่าประโยชน์ของตน

พร้อมทั้งเน้นย้ำให้ โครงการนำร่อง “ครอบครัวท้องถิ่นบันนังสตาโปร่งใส ห่างไกลคอร์รัปชัน” เป็นบันนังสตา Model เพื่อเป็นแบบอย่างให้การมีความโปร่งใส มีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร สร้างกิจกรรมต่างๆให้ประชาชนมีความเป็นพลเมือง มีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นและป้องกันการทุจริตอย่างจริงจังต่อไป.