ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนเมษายน 2568
ศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ได้ดำเนินการจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงของ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนในภาคใต้ เก็บแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ จำนวน 420 ตัวอย่าง
ผลการสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนเมษายน 2568 เปรียบเทียบเดือนมีนาคม 2568 และคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า
รายการ
มีนาคม 2568 เมษายน 2568 คาดการณ์ใน 3 เดือนข้างหน้า เพิ่มขึ้น/ คงที่/ ลดลง/ เพิ่มขึ้น/ คงที่/ ลดลง/ เพิ่มขึ้น/ คงที่/ ลดลง/ ดีขึ้น เท่าเดิม แย่ลง ดีขึ้น เท่าเดิม แย่ลง ดีขึ้น เท่าเดิม แย่ลง 1. ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม 28.40 43.80 27.80 28.60 44.20 27.20 35.70 45.90 18.40 2. รายได้จากการทำงาน 26.80 43.50 29.70 26.90 44.60 28.50 32.40 50.10 17.50 3. รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็น ในครอบครัว
32.50 45.60 21.90 33.50 45.80 20.70 32.50 45.80 21.70 4. รายจ่ายด้านการท่องเที่ยว เช่น การเดินทาง ที่พัก อาหาร และอื่น ๆ
28.80 44.60 26.60 29.70 45.60 24.70 34.70 51.70 13.60 5. ความสุขในการดำเนินชีวิต 28.10 44.50 27.40 28.40 44.70 26.90 32.50 45.80 21.70 6. ฐานะการเงิน (รายได้หักรายจ่าย) 27.60 46.90 25.50 27.50 46.40 26.10 32.40 50.10 17.50 7. การออมเงิน 25.40 43.10 31.50 25.10 43.00 31.90 32.80 54.10 13.10 8. การรักษามาตรฐานค่าครองชีพ 25.60 43.50 30.90 25.20 43.10 31.70 26.30 49.80 23.90 9. การลดลงของหนี้สิน 24.80 34.40 40.80 24.40 34.00 41.60 32.80 45.80 21.40 10. ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน 27.00 44.30 28.70 26.80 44.20 29.00 33.80 48.80 17.40 11. การแก้ปัญหายาเสพติด 24.20 42.50 33.30 24.00 42.40 33.60 35.60 51.30 13.10 12. การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัด ชายแดนภาคใต้
26.00 41.70 32.30 26.30 40.30 33.40 32.80 35.70 31.50 13. การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ 27.20 44.10 28.70 27.00 43.60 29.40 39.70 45.10 15.20
ความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม และเมษายน 2568
รายการ 2568 กุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายน 1. ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม 47.90 47.40 48.00 2. รายได้จากการทำงาน 44.10 43.70 44.30 3. รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครอบครัว 61.70 60.80 62.20 4. รายจ่ายด้านการท่องเที่ยว เช่น การเดินทาง ที่พัก อาหาร และอื่น ๆ 49.80 48.50 50.90 5. ความสุขในการดำเนินชีวิต 49.80 49.20 50.70 6. ฐานะการเงิน (รายได้หักรายจ่าย) 42.90 42.30 42.10 7. การออมเงิน 40.40 40.00 40.00 8. การรักษามาตรฐานค่าครองชีพ 38.50 38.10 38.00 9. การลดลงของหนี้สิน 45.40 45.20 45.10 10. ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน 43.60 43.10 43.00 11. การแก้ปัญหายาเสพติด 37.50 37.30 37.30 12. การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 34.10 33.90 33.80 13. การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ 42.30 40.10 40.10 14. ความเชื่อมั่นของประชาชนโดยรวม 44.50 43.80 44.30
ผศ.ดร.วิวัฒน์ จันทร์กิ่งทอง ผู้จัดการศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ รายงานผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนโดยรวมเดือนเมษายน (44.30) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมีนาคม (43.80) โดยดัชนีที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม รายได้จากการทำงาน รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครอบครัว รายจ่ายด้านการท่องเที่ยว และความสุขในการดำเนินชีวิต โดยปัจจัยบวกที่สำคัญ คือ ในช่วงเทศกาลวันสงกรานต์มีนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคใต้จำนวนมาก ทำให้มีเงินสะพัดจากการท่องเที่ยวประมาณ 13,000 ล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวชายทะเล ได้แก่ ภูเก็ต พังงา และเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และในช่วงวันสงกรานต์ซึ่งเป็นวันหยุดยาว ตั้งแต่วันที่ 12-16 เมษายน ประชาชนส่วนหนึ่งเดินทางกลับภูมิลำเนา และมีการจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าเพื่อนำมาเลี้ยงสังสรรค์กับญาติและเพื่อน นอกจากนี้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในหลายพื้นที่ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมประเพณีสงกรานต์ ขบวนแห่ และการเล่นน้ำ ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพื่อร่วมกิจกรรมวันสงกรานต์จำนวนมาก ทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น
จากผลการศึกษาพบว่า เศรษฐกิจโดยภาพรวมในเดือนเมษายน มีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลวันสงกรานต์ แต่เมื่อผ่านพ้นช่วงวันสงกรานต์ เศรษฐกิจก็เข้าสู่ช่วงทรงตัวและตกต่ำเช่นเดิม ทั้งนี้สังเกตได้จากดัชนีฯ หลายตัวที่ลดลง อาทิ ฐานะการเงิน (รายได้หักรายจ่าย) การออมเงิน และการลดลงของหนี้สิน ซึ่งต้นเหตุของปัญหา คือ รายได้ของประชาชนไม่เพียงพอต่อรายจ่าย และค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าในอนาคตข้างหน้า รัฐบาลจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400-500 บาททั่วประเทศ ก็เป็นเพียงการช่วยเหลือประชาชนเพียงบางกลุ่มเท่านั้น และเป็นการช่วยเหลือที่ปลายเหตุ ไม่สามารถทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนส่วนใหญ่ในประเทศดีขึ้นได้ ทั้งนี้ รัฐบาลควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือ การหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวม โดยการจูงใจให้เกิดการใช้จ่ายมากขึ้น เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องผ่านโครงการต่าง ๆ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้กระตุ้นเศรษฐกิจโดยการแจกเงิน 10,000 บาท ซึ่งนักวิชาการส่วนหนึ่งมองว่า “ไม่คุ้มค่า” เสมือนเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เพราะรัฐบาลต้องใช้เงินจำนวนมาก แต่เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมีระยะเวลาสั้นเพียง 1-2 สัปดาห์เท่านั้น ซึ่งหากรัฐบาลนำเงินที่จะแจกไปกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการต่าง ๆ ย่อมทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นได้
จากการสำรวจผลงานในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาของรัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พบว่า โครงการที่เกี่ยวกับการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านมายังมีน้อยมาก และโครงการที่ประชาชนให้ความสนใจ คือ โครงการแจกเงิน 10,000 บาท โครงการบ้านเพื่อคนไทย และโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง ซึ่งทั้ง 3 โครงการรัฐบาลดำเนินงานได้ค่อนข้างล่าช้า และยังไม่มีอะไรที่ชัดเจน โดยเฉพาะโครงการแจกเงินหมื่นได้มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข และเลื่อนระยะเวลาในการแจกหลายครั้ง ในขณะที่โครงการบ้านเพื่อคนไทย นับตั้งแต่เปิดตัวและให้ประชาชนลงทะเบียนตั้งแต่เดือนมกราคม จนถึงบัดนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ เลย รวมถึงโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง ที่มีระยะเวลาท่องเที่ยวตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กันยายน 2568 นั้น ซึ่งนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวฯ ได้ให้ข่าวตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ จน ณ ปัจจุบัน ปลายเดือนเมษายนแล้วก็ยังไม่มีความชัดเจนใด ๆ เลย ซึ่งโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งนี้ประชาชนจำนวนมากให้ความสนใจ ติดตาม และเฝ้ารอความชัดเจนจากรัฐบาล โดยมีประชาชนจำนวนหนึ่งได้วางแผนการท่องเที่ยวผ่านโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งแล้ว อย่างไรก็ตาม รัฐบาลควรมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มากกว่านี้ และในการดำเนินโครงการทุก ๆ โครงการของรัฐบาลควรมีแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน
จากการสัมภาษณ์และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในสิ่งที่ประชาชนคาดหวังและต้องการ เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยประชาชนและนักวิชาการในหลากหลายสาขาอาชีพได้เสนอแนะต่อรัฐบาล ดังนี้
จากการขึ้นราคาของเนื้อหมู ไข่ ผักสด น้ำมันพืช และวัตถุดิบอื่น ๆ ที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ค่าครองชีพของประชาชนเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ขณะที่รายได้ของประชาชนส่วนใหญ่ยังเท่าเดิม ดังนั้น รัฐบาลควรหามาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชน ซึ่งประชาชนส่วนหนึ่งเสนอให้รัฐบาลเปลี่ยนจากการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมาก มาเป็นการแจกเงินคนละครึ่ง 10,000 บาท (รัฐบาล 5,000 บาท และ ประชาชน 5,000 บาท) ซึ่งจะทำให้สามารถลดเงินที่รัฐบาลต้องแจกได้ถึง 50% อีกทั้ง ยังช่วยลดค่าครองชีพของประชาชน และทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งผู้สูงอายุที่อยู่ในครอบครัวที่มีรายได้ต่ำถึงปานกลางส่วนใหญ่ยังต้องพึ่งพาเงินจากลูกหลาน และยังมีผู้สูงอายุจำนวนมากที่ไม่ได้รับเงินจากลูกหลาน ทำให้การใช้ชีวิตของผู้สูงอายุเหล่านี้ค่อนข้างลำบาก เนื่องจากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจำนวน 600-1,000 บาทต่อเดือน นับว่าเป็นจำนวนเงินที่น้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับราคาสินค้า ข้าวของ และเครื่องใช้ในปัจจุบัน ทั้งนี้ จึงเสนอให้รัฐบาลควรเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุต่อคน จำนวน 3,000 บาทต่อเดือน เพื่อให้เพียงพอต่อการดำรงชีพ
จากสถานการณ์การขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีผลกระทบต่อผู้ส่งออกของไทยเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ภาครัฐควรมีมาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออกไทย อาทิ การเจรจาเพื่อขอลดหย่อนภาษีกับรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา และเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศอื่นเพิ่มเติม รวมถึงขยายตลาดไปยังภูมิภาคอื่น เช่น จีน อินเดีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา เป็นต้น จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทำให้ตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม ซึ่งสาเหตุคาดว่า เป็นข้อบกพร่องในการออกแบบและก่อสร้าง รวมถึงการใช้วัสดุก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน ทั้งนี้ ประชาชนมองว่า น่าจะเป็นการร่วมกันทุจริตและคอร์รัปชันของหน่วยงานราชการและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในความปลอดภัยจากการก่อสร้างอาคารของหน่วยงานราชการ และหากไม่มีแนวทางการป้องกันที่ดีก็อาจจะเกิดเหตุการณ์ตึกถล่มเช่นนี้อีก จึงมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ 4.1 การออกกฎหมายที่กำหนดมาตรฐานของวัสดุ เช่น เหล็ก และคอนกรีตให้สูงขึ้น และต้องมีการรับรองคุณภาพจากหน่วยงานกลาง
4.2 การกำหนดให้การก่อสร้างอาคาร ต้องมีวิศวกรโครงสร้างที่ขึ้นทะเบียนกับสภาวิศวกรรับผิดชอบโดยตรง
4.3 การออกกฎหมายให้ทุกอาคารต้องออกแบบให้สามารถรองรับแผ่นดินไหวได้
4.4 การจัดตั้งหน่วยงานตรวจสอบอิสระ เพื่อตรวจสอบอาคาร ตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง ระหว่างก่อสร้าง และหลังการก่อสร้าง โดยเฉพาะการตรวจสอบแบบ และการใช้งานวัสดุ ว่าสอดคล้องกับที่ได้รับอนุมัติหรือไม่
4.5 การกำหนดบทลงโทษที่หนัก สำหรับผู้กระทำความผิดและผู้ที่เป็นนอมินี ทั้งทางแพ่งและทางอาญา
ผลคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และรายได้จากการทำงานเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 35.70 และ 32.40 ตามลำดับ ส่วนความเชื่อมั่นต่อรายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครัวเรือน และรายจ่ายด้านการท่องเที่ยว ในอีก 3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้น คิดเป็น ร้อยละ 32.50 และ 34.70 ตามลำดับ ในขณะที่ความเชื่อมั่นด้านความสุขในการดำเนินชีวิต การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในอีก 3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 32.50, 32.80 และ 39.70 ตามลำดับ.
สำนักข่าวบ้านข่าว รายงาน
May 31, 2025
May 30, 2025
ชื่อ-สกุล*
อีเมล์*
เว็ปไซต์
แสดงความคิดเห็น
Notify me of follow-up comments by email.
Notify me of new posts by email.
Δ
ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนเมษายน 2568
ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนเมษายน 2568
ศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ได้ดำเนินการจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงของ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนในภาคใต้ เก็บแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ จำนวน 420 ตัวอย่าง
ผลการสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนเมษายน 2568 เปรียบเทียบเดือนมีนาคม 2568 และคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า
รายการ
มีนาคม 2568 เมษายน 2568 คาดการณ์ใน 3 เดือนข้างหน้า
เพิ่มขึ้น/ คงที่/ ลดลง/ เพิ่มขึ้น/ คงที่/ ลดลง/ เพิ่มขึ้น/ คงที่/ ลดลง/
ดีขึ้น เท่าเดิม แย่ลง ดีขึ้น เท่าเดิม แย่ลง ดีขึ้น เท่าเดิม แย่ลง
1. ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม 28.40 43.80 27.80 28.60 44.20 27.20 35.70 45.90 18.40
2. รายได้จากการทำงาน 26.80 43.50 29.70 26.90 44.60 28.50 32.40 50.10 17.50
3. รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็น
ในครอบครัว
32.50 45.60 21.90 33.50 45.80 20.70 32.50 45.80 21.70
4. รายจ่ายด้านการท่องเที่ยว เช่น การเดินทาง
ที่พัก อาหาร และอื่น ๆ
28.80 44.60 26.60 29.70 45.60 24.70 34.70 51.70 13.60
5. ความสุขในการดำเนินชีวิต 28.10 44.50 27.40 28.40 44.70 26.90 32.50 45.80 21.70
6. ฐานะการเงิน (รายได้หักรายจ่าย) 27.60 46.90 25.50 27.50 46.40 26.10 32.40 50.10 17.50
7. การออมเงิน 25.40 43.10 31.50 25.10 43.00 31.90 32.80 54.10 13.10
8. การรักษามาตรฐานค่าครองชีพ 25.60 43.50 30.90 25.20 43.10 31.70 26.30 49.80 23.90
9. การลดลงของหนี้สิน 24.80 34.40 40.80 24.40 34.00 41.60 32.80 45.80 21.40
10. ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน 27.00 44.30 28.70 26.80 44.20 29.00 33.80 48.80 17.40
11. การแก้ปัญหายาเสพติด 24.20 42.50 33.30 24.00 42.40 33.60 35.60 51.30 13.10
12. การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัด
ชายแดนภาคใต้
26.00 41.70 32.30 26.30 40.30 33.40 32.80 35.70 31.50
13. การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ 27.20 44.10 28.70 27.00 43.60 29.40 39.70 45.10 15.20
ความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม และเมษายน 2568
รายการ 2568
กุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายน
1. ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม 47.90 47.40 48.00
2. รายได้จากการทำงาน 44.10 43.70 44.30
3. รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครอบครัว 61.70 60.80 62.20
4. รายจ่ายด้านการท่องเที่ยว เช่น การเดินทาง ที่พัก อาหาร และอื่น ๆ 49.80 48.50 50.90
5. ความสุขในการดำเนินชีวิต 49.80 49.20 50.70
6. ฐานะการเงิน (รายได้หักรายจ่าย) 42.90 42.30 42.10
7. การออมเงิน 40.40 40.00 40.00
8. การรักษามาตรฐานค่าครองชีพ 38.50 38.10 38.00
9. การลดลงของหนี้สิน 45.40 45.20 45.10
10. ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน 43.60 43.10 43.00
11. การแก้ปัญหายาเสพติด 37.50 37.30 37.30
12. การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 34.10 33.90 33.80
13. การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ 42.30 40.10 40.10
14. ความเชื่อมั่นของประชาชนโดยรวม 44.50 43.80 44.30
ผศ.ดร.วิวัฒน์ จันทร์กิ่งทอง ผู้จัดการศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ รายงานผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนโดยรวมเดือนเมษายน (44.30) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมีนาคม (43.80) โดยดัชนีที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม รายได้จากการทำงาน รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครอบครัว รายจ่ายด้านการท่องเที่ยว และความสุขในการดำเนินชีวิต โดยปัจจัยบวกที่สำคัญ คือ ในช่วงเทศกาลวันสงกรานต์มีนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคใต้จำนวนมาก ทำให้มีเงินสะพัดจากการท่องเที่ยวประมาณ 13,000 ล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวชายทะเล ได้แก่ ภูเก็ต พังงา และเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และในช่วงวันสงกรานต์ซึ่งเป็นวันหยุดยาว ตั้งแต่วันที่ 12-16 เมษายน ประชาชนส่วนหนึ่งเดินทางกลับภูมิลำเนา และมีการจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าเพื่อนำมาเลี้ยงสังสรรค์กับญาติและเพื่อน นอกจากนี้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในหลายพื้นที่ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมประเพณีสงกรานต์ ขบวนแห่ และการเล่นน้ำ ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพื่อร่วมกิจกรรมวันสงกรานต์จำนวนมาก ทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น
จากผลการศึกษาพบว่า เศรษฐกิจโดยภาพรวมในเดือนเมษายน มีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลวันสงกรานต์ แต่เมื่อผ่านพ้นช่วงวันสงกรานต์ เศรษฐกิจก็เข้าสู่ช่วงทรงตัวและตกต่ำเช่นเดิม ทั้งนี้สังเกตได้จากดัชนีฯ หลายตัวที่ลดลง อาทิ ฐานะการเงิน (รายได้หักรายจ่าย) การออมเงิน และการลดลงของหนี้สิน ซึ่งต้นเหตุของปัญหา คือ รายได้ของประชาชนไม่เพียงพอต่อรายจ่าย และค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าในอนาคตข้างหน้า รัฐบาลจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400-500 บาททั่วประเทศ ก็เป็นเพียงการช่วยเหลือประชาชนเพียงบางกลุ่มเท่านั้น และเป็นการช่วยเหลือที่ปลายเหตุ ไม่สามารถทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนส่วนใหญ่ในประเทศดีขึ้นได้ ทั้งนี้ รัฐบาลควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือ การหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวม โดยการจูงใจให้เกิดการใช้จ่ายมากขึ้น เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องผ่านโครงการต่าง ๆ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้กระตุ้นเศรษฐกิจโดยการแจกเงิน 10,000 บาท ซึ่งนักวิชาการส่วนหนึ่งมองว่า “ไม่คุ้มค่า” เสมือนเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เพราะรัฐบาลต้องใช้เงินจำนวนมาก แต่เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมีระยะเวลาสั้นเพียง 1-2 สัปดาห์เท่านั้น ซึ่งหากรัฐบาลนำเงินที่จะแจกไปกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการต่าง ๆ ย่อมทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นได้
จากการสำรวจผลงานในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาของรัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พบว่า โครงการที่เกี่ยวกับการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านมายังมีน้อยมาก และโครงการที่ประชาชนให้ความสนใจ คือ โครงการแจกเงิน 10,000 บาท โครงการบ้านเพื่อคนไทย และโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง ซึ่งทั้ง 3 โครงการรัฐบาลดำเนินงานได้ค่อนข้างล่าช้า และยังไม่มีอะไรที่ชัดเจน โดยเฉพาะโครงการแจกเงินหมื่นได้มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข และเลื่อนระยะเวลาในการแจกหลายครั้ง ในขณะที่โครงการบ้านเพื่อคนไทย นับตั้งแต่เปิดตัวและให้ประชาชนลงทะเบียนตั้งแต่เดือนมกราคม จนถึงบัดนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ เลย รวมถึงโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง ที่มีระยะเวลาท่องเที่ยวตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กันยายน 2568 นั้น ซึ่งนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวฯ ได้ให้ข่าวตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ จน ณ ปัจจุบัน ปลายเดือนเมษายนแล้วก็ยังไม่มีความชัดเจนใด ๆ เลย ซึ่งโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งนี้ประชาชนจำนวนมากให้ความสนใจ ติดตาม และเฝ้ารอความชัดเจนจากรัฐบาล โดยมีประชาชนจำนวนหนึ่งได้วางแผนการท่องเที่ยวผ่านโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งแล้ว อย่างไรก็ตาม รัฐบาลควรมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มากกว่านี้ และในการดำเนินโครงการทุก ๆ โครงการของรัฐบาลควรมีแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน
จากการสัมภาษณ์และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในสิ่งที่ประชาชนคาดหวังและต้องการ เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยประชาชนและนักวิชาการในหลากหลายสาขาอาชีพได้เสนอแนะต่อรัฐบาล ดังนี้
จากการขึ้นราคาของเนื้อหมู ไข่ ผักสด น้ำมันพืช และวัตถุดิบอื่น ๆ ที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ค่าครองชีพของประชาชนเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ขณะที่รายได้ของประชาชนส่วนใหญ่ยังเท่าเดิม ดังนั้น รัฐบาลควรหามาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชน ซึ่งประชาชนส่วนหนึ่งเสนอให้รัฐบาลเปลี่ยนจากการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมาก มาเป็นการแจกเงินคนละครึ่ง 10,000 บาท (รัฐบาล 5,000 บาท และ ประชาชน 5,000 บาท) ซึ่งจะทำให้สามารถลดเงินที่รัฐบาลต้องแจกได้ถึง 50% อีกทั้ง ยังช่วยลดค่าครองชีพของประชาชน และทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น
ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งผู้สูงอายุที่อยู่ในครอบครัวที่มีรายได้ต่ำถึงปานกลางส่วนใหญ่ยังต้องพึ่งพาเงินจากลูกหลาน และยังมีผู้สูงอายุจำนวนมากที่ไม่ได้รับเงินจากลูกหลาน ทำให้การใช้ชีวิตของผู้สูงอายุเหล่านี้ค่อนข้างลำบาก เนื่องจากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจำนวน 600-1,000 บาทต่อเดือน นับว่าเป็นจำนวนเงินที่น้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับราคาสินค้า ข้าวของ และเครื่องใช้ในปัจจุบัน ทั้งนี้ จึงเสนอให้รัฐบาลควรเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุต่อคน จำนวน 3,000 บาทต่อเดือน เพื่อให้เพียงพอต่อการดำรงชีพ
จากสถานการณ์การขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีผลกระทบต่อผู้ส่งออกของไทยเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ภาครัฐควรมีมาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออกไทย อาทิ การเจรจาเพื่อขอลดหย่อนภาษีกับรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา และเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศอื่นเพิ่มเติม รวมถึงขยายตลาดไปยังภูมิภาคอื่น เช่น จีน อินเดีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา เป็นต้น
จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทำให้ตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม ซึ่งสาเหตุคาดว่า เป็นข้อบกพร่องในการออกแบบและก่อสร้าง รวมถึงการใช้วัสดุก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน ทั้งนี้ ประชาชนมองว่า น่าจะเป็นการร่วมกันทุจริตและคอร์รัปชันของหน่วยงานราชการและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในความปลอดภัยจากการก่อสร้างอาคารของหน่วยงานราชการ และหากไม่มีแนวทางการป้องกันที่ดีก็อาจจะเกิดเหตุการณ์ตึกถล่มเช่นนี้อีก จึงมีข้อเสนอแนะ ดังนี้
4.1 การออกกฎหมายที่กำหนดมาตรฐานของวัสดุ เช่น เหล็ก และคอนกรีตให้สูงขึ้น และต้องมีการรับรองคุณภาพจากหน่วยงานกลาง
4.2 การกำหนดให้การก่อสร้างอาคาร ต้องมีวิศวกรโครงสร้างที่ขึ้นทะเบียนกับสภาวิศวกรรับผิดชอบโดยตรง
4.3 การออกกฎหมายให้ทุกอาคารต้องออกแบบให้สามารถรองรับแผ่นดินไหวได้
4.4 การจัดตั้งหน่วยงานตรวจสอบอิสระ เพื่อตรวจสอบอาคาร ตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง ระหว่างก่อสร้าง และหลังการก่อสร้าง โดยเฉพาะการตรวจสอบแบบ และการใช้งานวัสดุ ว่าสอดคล้องกับที่ได้รับอนุมัติหรือไม่
4.5 การกำหนดบทลงโทษที่หนัก สำหรับผู้กระทำความผิดและผู้ที่เป็นนอมินี ทั้งทางแพ่งและทางอาญา
ผลคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และรายได้จากการทำงานเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 35.70 และ 32.40 ตามลำดับ ส่วนความเชื่อมั่นต่อรายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครัวเรือน และรายจ่ายด้านการท่องเที่ยว ในอีก 3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้น คิดเป็น ร้อยละ 32.50 และ 34.70 ตามลำดับ ในขณะที่ความเชื่อมั่นด้านความสุขในการดำเนินชีวิต การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในอีก 3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 32.50, 32.80 และ 39.70 ตามลำดับ.
สำนักข่าวบ้านข่าว รายงาน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ฉลอง 10 ปี ฟุตบอล ‘ยุวชนหาดทิพย์คัพ’ ขยายครบ 14 ...
May 31, 2025
ท่าอากาศยานหาดใหญ่ จัดโครงการ “ทหญ. สร้างความสัมพันธ์กับสื่อมวลชน” ประจำปี 2568
May 31, 2025
สสว. – สทท. ชวนลงใต้ที่ตรังและสงขลา เปิดตลาดนัด Recharge Market ...
May 30, 2025
#ซมโปะ สาขาที่ 5 ของเรา สาขาหาดใหญ่เปิดให้บริการแล้ววันนี้ ! ...
May 30, 2025