หน่วยงาน 4 องค์กรหลัก พพ. กนอ. สสท. และ อบก. ผนึกกำลังร่วมกับอีกกว่า 20 หน่วยงานชั้นนำด้านพลังงาน อุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อม จัดสัมมนาวิชาการครั้งประวัติศาสตร์ สร้างพิมพ์เขียว “นำไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน” ย้ำเป็นเวทีบูรณาการความร่วมมือให้ทุกภาคส่วนร่วมกันลดใช้พลังงานลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เรียนรู้เทคโนโลยีสีเขียว และวางแผนสร้างความมั่นคงด้านพลังงานควบคู่ดูแลสิ่งแวดล้อมให้ไทยผงาดในเวทีโลกอย่างยั่งยืน
17 กันยายน 2556 กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ร่วมกันจัดงานสัมมนาวิชาการเรื่อง “Energy: Main Road to Low Carbon Society” เพื่อนำเสนอผลงานอันโดดเด่นด้านนวัตกรรมพลังงานและพลังงานทดแทน การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ตลอดจนเพื่อกระตุ้นให้ภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคม ทั้งภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม หน่วยงานภาครัฐ ท้องถิ่น และประชาชนเกิดความตระหนักและเล็งเห็นแนวทางในการพัฒนาพลังงานทดแทนที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศต่อไป
นายอำนวย ทองสถิตย์ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กล่าวว่า จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 ซึ่งมีเป้าหมายระบุว่า ประเทศจะต้องเข้าสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) ภายในปี 2564 พพ.ในฐานะหน่วยงานหลักที่ดูแลด้านการพัฒนาพลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งถือเป็นกลไกหลักของการขับเคลื่อนตามเป้าหมายดังกล่าว จึงมีความจำเป็นต้องเร่งสร้างจิตสำนึกให้ทุกภาคส่วนในสังคมหันมาใส่ใจการใช้พลังงาน โดยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้มากที่สุด ทั้งจากกระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและภาคขนส่ง ซึ่งถือเป็น 2 ภาคส่วนหลักที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึงกว่าร้อยละ 70 ซึ่งการสัมมนาในวันนี้จะมีการพูดคุยหาทางออกในมิติต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ภาคส่วนดังกล่าวลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกควบคู่ไปด้วย
ทั้งนี้ ผลจากการสัมมนาในหัวข้อที่สำคัญต่าง ๆ ครั้งนี้ จะเป็นเหมือนพิมพ์เขียวตั้งต้นในการนำไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ได้แก่ การสร้างแรงจูงใจในการลงทุนเพื่อนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว แนวทางการจำหน่ายคาร์บอนเครดิต การออกแบบบ้านจัดสรรและอาคารให้เป็นแบบอนุรักษ์พลังงาน การอบรมเรื่องฉลากประสิทธิภาพสูงในอุปกรณ์พลังงานต่าง ๆ ตลอดจนนวัตกรรมด้านการส่งเสริมพลังงานทางเลือกของไทย การส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนให้ทุกชุมชนสามารถเป็นผู้ผลิตเองได้ โดยการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกว่า 20 หน่วยงาน ซึ่ง พพ. มั่นใจว่าจะเป็นก้าวสำคัญให้ประเทศไทยไปสู่เป้าหมายสังคมคาร์บอนต่ำได้ในอนาคตอันใกล้นี้
ดร.วีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า ขณะนี้ กนอ.ได้ปรับแนวคิดจากนิคมอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมเปลี่ยนมาเป็น Eco Industrial Town หรือ “เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ” เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างมีดุลภาพและยั่งยืน โดยผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น ผู้ประกอบการ รัฐ ชุมชน รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่นิคมอุตสาหกรรมเข้าไปตั้งอยู่จะต้องได้รับประโยชน์ร่วมกันและสามารถพัฒนาต่อยอดไปได้ โดยจะใช้หลักการมีส่วนร่วมและการบริหารจัดการที่มีธรรมาภิบาล
โดยขณะนี้ กนอ. ได้รณรงค์เรื่องเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศไปแล้ว 15 นิคมฯ จากนิคมอุตสาหกรรมทั้งหมด 48 แห่งทั่วประเทศ โดยเฉพาะนิคมฯ เกิดใหม่ก็จะนำแนวคิดนี้ไปใช้ตั้งแต่การออกแบบให้เป็นนิคมฯ สีเขียว ส่วนในอนาคต กนอ.มีวิสัยทัศน์ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมพลังงานทางเลือกโดยเฉพาะ โดยจะร่วมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งในขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ ดังนั้นพลังงานทางเลือกถือเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับโอกาสของนิคมอุตสาหกรรมของไทยในอนาคต
ดร.ขวัญฤดี โชติชนาทวีวงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า จากความต้องการพลังงานของประเทศ ที่นับวันจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ปริมาณพลังงานที่มีกลับลดน้อยลงเรื่อย ๆ อันเนื่องจากการพึ่งพาเชื้อเพลิงชนิดที่ใช้แล้วหมดไปเป็นหลัก ประกอบกับการนำเข้าพลังงานบางส่วนจากต่างประเทศ ล้วนส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศทั้งสิ้น ซึ่งทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญร่วมกัน คือการสร้างความเข้าใจและตระหนักถึงความจำเป็นในการอนุรักษ์ การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน รวมถึงการหาแหล่งพลังงานทดแทนในรูปแบบต่าง ๆ อย่างเท่าทันเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ที่ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางพลังงาน ควบคู่กับการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิต และการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน ซึ่งการสัมมนาวันนี้จะเป็นการนำเอามุมมองในแง่ต่าง ๆ ของเรื่องพลังงานจากผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ ท่าน มาเป็นข้อมูลในการพัฒนาประเทศลำดับต่อไป
นางประเสริฐสุข จามรมาน (รักษาการ) ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. กล่าวว่าปัจจุบัน อบก.ได้จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมนานาชาติด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศหรือ CITC (Climate Change International Training Centre) เพื่อเป็นองค์กรหลักในการส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกของประเทศ และมุ่งหวังที่จะเป็นศูนย์กลางของประเทศอาเซียนในการบริหารจัดการเรื่องนี้ด้วย รวมทั้งเสริมสร้างและพัฒนาเครือข่ายด้านองค์ความรู้ในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทยและกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพด้านการลดก๊าซเรือนกระจกต่อไป.
December 5, 2025
December 4, 2025
December 3, 2025
ชื่อ-สกุล*
อีเมล์*
เว็ปไซต์
แสดงความคิดเห็น
Notify me of follow-up comments by email.
Notify me of new posts by email.
Δ
สัมมนาครั้งประวัติศาสตร์นำประเทศไทยก้าวสู่ “สังคมคาร์บอนต่ำ”
หน่วยงาน 4 องค์กรหลัก พพ. กนอ. สสท. และ อบก. ผนึกกำลังร่วมกับอีกกว่า 20 หน่วยงานชั้นนำด้านพลังงาน อุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อม จัดสัมมนาวิชาการครั้งประวัติศาสตร์ สร้างพิมพ์เขียว “นำไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน” ย้ำเป็นเวทีบูรณาการความร่วมมือให้ทุกภาคส่วนร่วมกันลดใช้พลังงานลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เรียนรู้เทคโนโลยีสีเขียว และวางแผนสร้างความมั่นคงด้านพลังงานควบคู่ดูแลสิ่งแวดล้อมให้ไทยผงาดในเวทีโลกอย่างยั่งยืน
17 กันยายน 2556 กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ร่วมกันจัดงานสัมมนาวิชาการเรื่อง “Energy: Main Road to Low Carbon Society” เพื่อนำเสนอผลงานอันโดดเด่นด้านนวัตกรรมพลังงานและพลังงานทดแทน การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ตลอดจนเพื่อกระตุ้นให้ภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคม ทั้งภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม หน่วยงานภาครัฐ ท้องถิ่น และประชาชนเกิดความตระหนักและเล็งเห็นแนวทางในการพัฒนาพลังงานทดแทนที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศต่อไป
นายอำนวย ทองสถิตย์ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กล่าวว่า จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 ซึ่งมีเป้าหมายระบุว่า ประเทศจะต้องเข้าสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) ภายในปี 2564 พพ.ในฐานะหน่วยงานหลักที่ดูแลด้านการพัฒนาพลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งถือเป็นกลไกหลักของการขับเคลื่อนตามเป้าหมายดังกล่าว จึงมีความจำเป็นต้องเร่งสร้างจิตสำนึกให้ทุกภาคส่วนในสังคมหันมาใส่ใจการใช้พลังงาน โดยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้มากที่สุด ทั้งจากกระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและภาคขนส่ง ซึ่งถือเป็น 2 ภาคส่วนหลักที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึงกว่าร้อยละ 70 ซึ่งการสัมมนาในวันนี้จะมีการพูดคุยหาทางออกในมิติต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ภาคส่วนดังกล่าวลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกควบคู่ไปด้วย
ทั้งนี้ ผลจากการสัมมนาในหัวข้อที่สำคัญต่าง ๆ ครั้งนี้ จะเป็นเหมือนพิมพ์เขียวตั้งต้นในการนำไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ได้แก่ การสร้างแรงจูงใจในการลงทุนเพื่อนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว แนวทางการจำหน่ายคาร์บอนเครดิต การออกแบบบ้านจัดสรรและอาคารให้เป็นแบบอนุรักษ์พลังงาน การอบรมเรื่องฉลากประสิทธิภาพสูงในอุปกรณ์พลังงานต่าง ๆ ตลอดจนนวัตกรรมด้านการส่งเสริมพลังงานทางเลือกของไทย การส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนให้ทุกชุมชนสามารถเป็นผู้ผลิตเองได้ โดยการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกว่า 20 หน่วยงาน ซึ่ง พพ. มั่นใจว่าจะเป็นก้าวสำคัญให้ประเทศไทยไปสู่เป้าหมายสังคมคาร์บอนต่ำได้ในอนาคตอันใกล้นี้
ดร.วีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า ขณะนี้ กนอ.ได้ปรับแนวคิดจากนิคมอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมเปลี่ยนมาเป็น Eco Industrial Town หรือ “เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ” เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างมีดุลภาพและยั่งยืน โดยผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น ผู้ประกอบการ รัฐ ชุมชน รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่นิคมอุตสาหกรรมเข้าไปตั้งอยู่จะต้องได้รับประโยชน์ร่วมกันและสามารถพัฒนาต่อยอดไปได้ โดยจะใช้หลักการมีส่วนร่วมและการบริหารจัดการที่มีธรรมาภิบาล
โดยขณะนี้ กนอ. ได้รณรงค์เรื่องเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศไปแล้ว 15 นิคมฯ จากนิคมอุตสาหกรรมทั้งหมด 48 แห่งทั่วประเทศ โดยเฉพาะนิคมฯ เกิดใหม่ก็จะนำแนวคิดนี้ไปใช้ตั้งแต่การออกแบบให้เป็นนิคมฯ สีเขียว ส่วนในอนาคต กนอ.มีวิสัยทัศน์ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมพลังงานทางเลือกโดยเฉพาะ โดยจะร่วมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งในขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ ดังนั้นพลังงานทางเลือกถือเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับโอกาสของนิคมอุตสาหกรรมของไทยในอนาคต
ดร.ขวัญฤดี โชติชนาทวีวงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า จากความต้องการพลังงานของประเทศ ที่นับวันจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ปริมาณพลังงานที่มีกลับลดน้อยลงเรื่อย ๆ อันเนื่องจากการพึ่งพาเชื้อเพลิงชนิดที่ใช้แล้วหมดไปเป็นหลัก ประกอบกับการนำเข้าพลังงานบางส่วนจากต่างประเทศ ล้วนส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศทั้งสิ้น ซึ่งทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญร่วมกัน คือการสร้างความเข้าใจและตระหนักถึงความจำเป็นในการอนุรักษ์ การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน รวมถึงการหาแหล่งพลังงานทดแทนในรูปแบบต่าง ๆ อย่างเท่าทันเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ที่ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางพลังงาน ควบคู่กับการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิต และการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน ซึ่งการสัมมนาวันนี้จะเป็นการนำเอามุมมองในแง่ต่าง ๆ ของเรื่องพลังงานจากผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ ท่าน มาเป็นข้อมูลในการพัฒนาประเทศลำดับต่อไป
นางประเสริฐสุข จามรมาน (รักษาการ) ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. กล่าวว่าปัจจุบัน อบก.ได้จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมนานาชาติด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศหรือ CITC (Climate Change International Training Centre) เพื่อเป็นองค์กรหลักในการส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกของประเทศ และมุ่งหวังที่จะเป็นศูนย์กลางของประเทศอาเซียนในการบริหารจัดการเรื่องนี้ด้วย รวมทั้งเสริมสร้างและพัฒนาเครือข่ายด้านองค์ความรู้ในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทยและกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพด้านการลดก๊าซเรือนกระจกต่อไป.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มูลนิธินายช่างไทยฯ ผนึกกำลังจิตอาสา กฟผ. ระดมกำลังเร่งฟื้นฟูระบบไฟฟ้าในพื้นที่ประสบอุทกภัย จ.สงขลา
December 5, 2025
ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) จัดการแสดงดนตรีบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ...
December 4, 2025
ท่าอากาศยานหาดใหญ่ส่งต่อถุงยังชีพ AOT ให้ชุมชนรอบสนามบิน
December 3, 2025
โรงเรียน นานาชาติ The American School of Bangkok ...
December 3, 2025