คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ที่มี นายสมชาย แสวงการ เป็นประธานคณะกรรมาธิการ ได้จัดทำข้อเสนอแนวทาง มาตรการ และข้อคิดเห็นต่อกรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พร้อมทั้งหามาตรการรองรับหากมีการกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง เสนอต่อรัฐบาลและศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ดังนี้ 1.รัฐควรให้มีการตั้งคณะทำงานเพื่อจัดเก็บ รวบรวม และจัดทำเป็นระบบฐานข้อมูล (Big Data Platform) ของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในทุกกลุ่มสาขาอาชีพ ผู้ถูกกระทบควรมีการประเมินเป้าหมาย รวมถึงผู้ที่ตกสำรวจการเยียวยา ควรตรวจสอบว่ามีปัญหาอะไร เช่น การใช้ข้อมูลการลงทะเบียนอาจไม่ใช่ผู้ถูกกระทบโดยตรง ระบบข้อมูลของรัฐที่กระจายในหลายหน่วยงานอาจไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ยังไม่มีการบูรณาการกัน ทางแก้ปัญหาส่วนหนึ่งคือการจัดทำ Big data 2.นโยบายการดูแลผู้ถูกกระทบ ประกอบด้วย การเยียวยาซึ่งควรมีการติดตามตรวจสอบปัญหา ที่ไม่สามารถดำเนินการได้ครอบคลุมทั่วถึง และการดูแลผลผลิตของผู้ประกอบการที่ถูกผลกระทบ รัฐควรสนับสนุนให้มี Digital market เพื่อช่วยระบายสินค้าโดยไม่เน้นการจ่ายเงิน 3.เนื่องจากระบบ AI ที่รัฐบาลใช้ในการสำรวจผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อาจทำให้เกิดการตกหล่นของประชาชนที่เดือดร้อนจริง ๆ กลุ่มเปราะบาง และเกษตรกร ไม่ได้รับความช่วยเหลือ ดังนั้น ควรมีกลไกการสำรวจผู้ที่ตกหล่นจากมาตรการเยียวยา โดยอาจให้ศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร เข้ามามีส่วนช่วยรับผิดชอบร่วมและส่งคนลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบ เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่ใกล้ชิดกับประชาชนในระดับฐานรากทั่วประเทศ 4.สำหรับการเดินทางเข้า-ออกระหว่างประเทศและในประเทศ รัฐควรกำหนดให้ชัดเจนว่าจะเริ่มให้ประชาชนมีการเดินทางเข้า-ออกระหว่างประเทศและในประเทศได้เมื่อใด และมีมาตรการอย่างไร 5.ควรมีมาตรการสนับสนุนให้กับอาชีพ อาทิ ร้านตัดผม ซึ่งรัฐอาจมีมาตรการเยียวยาช่วยเหลือผู้ประกอบการด้วยการใช้วิธีให้ประชาชนเข้ามารับบริการฟรีและรัฐชดเชยให้กับผู้ประกอบการ ทั้งนี้ จะต้องมีมาตรการป้องกันความปลอดภัยด้านสาธารณสุขด้วย อีกทั้ง สมาคมผู้ประกอบการในสาขาอาชีพต่าง ๆ เช่น ช่างตัดผม ช่างเสริมสวยสวย ช่างทำผม ผู้ช่วยช่างทำผม หมอนวดแผนไทย ผู้ฝึกสอนออกกำลังกาย ที่สถานที่ออกกำลังกาย (ฟิตเนส) สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ (ร้านสปา) เป็นต้น ควรรวมกลุ่มกันและจัดทำข้อเสนอแนะหรือแนวปฏิบัติให้กับรัฐบาลเพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหา เยียวยาตรงจุด และเป็นรูปธรรม ซึ่งหน่วยงานสามารถหยิบยกนำไปใช้ดำเนินการทันที 6.สำนักงานประกันสังคมควรปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้เป็นการทำงานในเชิงรุกมากขึ้น สิทธิผู้ประกันตน เจ้าของเงินกองทุน กำลังถูกลิดรอนโดยกลไกในรูปแบบของหน่วยงานรัฐ ขั้นตอนดำเนินงานทุกขั้นตอนยังล่าช้า การแถลงข่าวยังไม่ชัดเจนในหลายประเด็น คือ (1) เงินกองทุนที่นำไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่าง ๆ มีสัดส่วนอย่างไร สภาพคล่องเป็นอย่างไร (2) ยังมีลูกหนี้ส่วนของรัฐ (หนึ่งในสามตามกฎหมาย) หรือไม่ เท่าไร (3) สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เตรียมเงินสดสำหรับเยียวยาผู้ถูกเลิกจ้าง ผู้ตกงาน รวมถึงผู้ประกันตนที่กิจการยังประคองตัวอย่างไรบ้าง และมีผู้ถูกรอนสิทธิ์หรือด้อยสิทธิ์อย่างไร (4) ผู้ประกันตนเมื่อเกษียณเคยได้รับเงินบำเหน็จเป็นเงินก้อนใหญ่ครั้งเดียว ปัจจุบันถูกเปลี่ยนเป็นบำนาญทั้งหมดหรือไม่ และจะมีนโยบายปรับเปลี่ยนอย่างไรบ้าง (5) โฆษกของสำนักงานประกันสังคม เคยแถลงว่าการประสานงานเพื่อการแก้ไขปัญหาในส่วนงานอื่น ๆ ของกระทรวงแรงงาน ผู้ประกอบการจะต้องไปประสานเอง ซึ่งไม่สอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่รัฐกำหนด จุดบริการร่วม (One Stop Service) แก่ผู้ประกอบการ ดังนั้น กระทรวงแรงงานจึงต้องทบทวนงานบริการด้านต่าง ๆ ให้สามารถอำนวยความสะดวกมากยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ผู้ประกอบการมากขึ้น ซึ่งสร้างแรงกดดันแก่ผู้ประกอบการและไม่สอดคล้องกับการบูรณาการเพื่อการปฏิรูปประเทศ 7.รัฐควรมีศูนย์กลางบริหารการช่วยเหลือโดยมีฐานข้อมูลจริงของผู้เดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ ต้องมีการจัดระบบการกระจายความช่วยเหลือให้ทั่วถึงแทนการระดมการบริจาค บางหน่วยงานเข้าไม่ถึงการรับการสนับสนุน รวมทั้งประชาชนที่เดือดร้อน บางแห่งไม่เคยได้รับการดูแลทั้งการแจกอาหารและการรับถุงยังชีพ การบริจาคของในปัจจุบันยังเกิดความซ้ำซ้อน กระจุกตัวอยู่แหล่งเดียว ดังนั้น จึงควรมีศูนย์ประสานเพื่อรวบรวมข้อมูลจากส่วนกลาง และตรวจสอบความต้องการของผู้ได้รับผลกระทบในแต่ละพื้นที่ให้ทั่วถึง เพื่อให้ของบริจาคเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง 8.เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เป็นเหตุการณ์รุนแรง ต่อเนื่อง ยาวนาน ซึ่งมีผลกระทบกับมนุษยชาติทั้งโลกในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และความมั่นคง ทำให้ปัจจัยที่จะต้องนำมาพิจารณาในกระบวนการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเปลี่ยนแปลงอย่าง มีนัยสำคัญ จึงทำให้ยุทธศาสตร์ชาติเดิมที่ได้จัดทำไว้ก่อนที่จะมีเหตุการณ์ดังกล่าวไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบันและต่อเนื่องไปในอนาคต ดังนั้น เห็นควรให้มีการทบทวนและประเมินยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยเฉพาะในเรื่องของทรัพยากร (Resource) และวิธีการ (Ways) 9.สำหรับประเด็นพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ที่กำหนดแผนงานไว้ 3 ส่วน โดยส่วนที่ 3 เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จำนวน 400,000 ล้านบาท จะต้องให้มั่นใจว่าเป็นโครงการที่สามารถ ต่อยอดได้ ไม่เป็นการใช้จ่ายเงินอย่างไม่เป็นประโยชน์ และสามารถตรวจสอบการใช้จ่ายได้ โดยอาจปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีให้รัดกุมยิ่งขึ้น รวมทั้งส่วนที่ 1 และ 2 ก็ควรมีการกำหนดให้ชัดเจนว่า จะนำไปใช้จ่ายในโครงการอะไรบ้าง.
ภาพ/ข่าว วุฒิสภา
สำนักข่าวบ้านข่าว รายงาน
December 5, 2025
December 4, 2025
December 3, 2025
ชื่อ-สกุล*
อีเมล์*
เว็ปไซต์
แสดงความคิดเห็น
Notify me of follow-up comments by email.
Notify me of new posts by email.
Δ
กมธ.สิทธิมนุษยชนฯ วุฒิสภา เสนอ 9 ข้อ กรณีการแพร่ระบาดของโควิด COVID-19
คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ที่มี นายสมชาย แสวงการ เป็นประธานคณะกรรมาธิการ ได้จัดทำข้อเสนอแนวทาง มาตรการ และข้อคิดเห็นต่อกรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พร้อมทั้งหามาตรการรองรับหากมีการกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง เสนอต่อรัฐบาลและศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ดังนี้
1.รัฐควรให้มีการตั้งคณะทำงานเพื่อจัดเก็บ รวบรวม และจัดทำเป็นระบบฐานข้อมูล (Big Data Platform) ของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ในทุกกลุ่มสาขาอาชีพ ผู้ถูกกระทบควรมีการประเมินเป้าหมาย รวมถึงผู้ที่ตกสำรวจการเยียวยา ควรตรวจสอบว่ามีปัญหาอะไร เช่น การใช้ข้อมูลการลงทะเบียนอาจไม่ใช่ผู้ถูกกระทบโดยตรง ระบบข้อมูลของรัฐที่กระจายในหลายหน่วยงานอาจไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ยังไม่มีการบูรณาการกัน ทางแก้ปัญหาส่วนหนึ่งคือการจัดทำ Big data
2.นโยบายการดูแลผู้ถูกกระทบ ประกอบด้วย การเยียวยาซึ่งควรมีการติดตามตรวจสอบปัญหา
ที่ไม่สามารถดำเนินการได้ครอบคลุมทั่วถึง และการดูแลผลผลิตของผู้ประกอบการที่ถูกผลกระทบ รัฐควรสนับสนุนให้มี Digital market เพื่อช่วยระบายสินค้าโดยไม่เน้นการจ่ายเงิน
3.เนื่องจากระบบ AI ที่รัฐบาลใช้ในการสำรวจผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อาจทำให้เกิดการตกหล่นของประชาชนที่เดือดร้อนจริง ๆ กลุ่มเปราะบาง
และเกษตรกร ไม่ได้รับความช่วยเหลือ ดังนั้น ควรมีกลไกการสำรวจผู้ที่ตกหล่นจากมาตรการเยียวยา โดยอาจให้ศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร เข้ามามีส่วนช่วยรับผิดชอบร่วมและส่งคนลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบ เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่ใกล้ชิดกับประชาชนในระดับฐานรากทั่วประเทศ
4.สำหรับการเดินทางเข้า-ออกระหว่างประเทศและในประเทศ รัฐควรกำหนดให้ชัดเจนว่าจะเริ่มให้ประชาชนมีการเดินทางเข้า-ออกระหว่างประเทศและในประเทศได้เมื่อใด และมีมาตรการอย่างไร
5.ควรมีมาตรการสนับสนุนให้กับอาชีพ อาทิ ร้านตัดผม ซึ่งรัฐอาจมีมาตรการเยียวยาช่วยเหลือผู้ประกอบการด้วยการใช้วิธีให้ประชาชนเข้ามารับบริการฟรีและรัฐชดเชยให้กับผู้ประกอบการ ทั้งนี้ จะต้องมีมาตรการป้องกันความปลอดภัยด้านสาธารณสุขด้วย อีกทั้ง สมาคมผู้ประกอบการในสาขาอาชีพต่าง ๆ เช่น ช่างตัดผม ช่างเสริมสวยสวย ช่างทำผม ผู้ช่วยช่างทำผม หมอนวดแผนไทย ผู้ฝึกสอนออกกำลังกาย
ที่สถานที่ออกกำลังกาย (ฟิตเนส) สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ (ร้านสปา) เป็นต้น ควรรวมกลุ่มกันและจัดทำข้อเสนอแนะหรือแนวปฏิบัติให้กับรัฐบาลเพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหา เยียวยาตรงจุด และเป็นรูปธรรม ซึ่งหน่วยงานสามารถหยิบยกนำไปใช้ดำเนินการทันที
6.สำนักงานประกันสังคมควรปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้เป็นการทำงานในเชิงรุกมากขึ้น
สิทธิผู้ประกันตน เจ้าของเงินกองทุน กำลังถูกลิดรอนโดยกลไกในรูปแบบของหน่วยงานรัฐ ขั้นตอนดำเนินงานทุกขั้นตอนยังล่าช้า การแถลงข่าวยังไม่ชัดเจนในหลายประเด็น คือ
(1) เงินกองทุนที่นำไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่าง ๆ มีสัดส่วนอย่างไร สภาพคล่องเป็นอย่างไร
(2) ยังมีลูกหนี้ส่วนของรัฐ (หนึ่งในสามตามกฎหมาย) หรือไม่ เท่าไร
(3) สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เตรียมเงินสดสำหรับเยียวยาผู้ถูกเลิกจ้าง ผู้ตกงาน รวมถึงผู้ประกันตนที่กิจการยังประคองตัวอย่างไรบ้าง และมีผู้ถูกรอนสิทธิ์หรือด้อยสิทธิ์อย่างไร
(4) ผู้ประกันตนเมื่อเกษียณเคยได้รับเงินบำเหน็จเป็นเงินก้อนใหญ่ครั้งเดียว ปัจจุบันถูกเปลี่ยนเป็นบำนาญทั้งหมดหรือไม่ และจะมีนโยบายปรับเปลี่ยนอย่างไรบ้าง
(5) โฆษกของสำนักงานประกันสังคม เคยแถลงว่าการประสานงานเพื่อการแก้ไขปัญหาในส่วนงานอื่น ๆ ของกระทรวงแรงงาน ผู้ประกอบการจะต้องไปประสานเอง ซึ่งไม่สอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่รัฐกำหนด
จุดบริการร่วม (One Stop Service) แก่ผู้ประกอบการ ดังนั้น กระทรวงแรงงานจึงต้องทบทวนงานบริการด้านต่าง ๆ ให้สามารถอำนวยความสะดวกมากยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ผู้ประกอบการมากขึ้น ซึ่งสร้างแรงกดดันแก่ผู้ประกอบการและไม่สอดคล้องกับการบูรณาการเพื่อการปฏิรูปประเทศ
7.รัฐควรมีศูนย์กลางบริหารการช่วยเหลือโดยมีฐานข้อมูลจริงของผู้เดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ ต้องมีการจัดระบบการกระจายความช่วยเหลือให้ทั่วถึงแทนการระดมการบริจาค บางหน่วยงานเข้าไม่ถึงการรับการสนับสนุน รวมทั้งประชาชนที่เดือดร้อน บางแห่งไม่เคยได้รับการดูแลทั้งการแจกอาหารและการรับถุงยังชีพ การบริจาคของในปัจจุบันยังเกิดความซ้ำซ้อน กระจุกตัวอยู่แหล่งเดียว ดังนั้น จึงควรมีศูนย์ประสานเพื่อรวบรวมข้อมูลจากส่วนกลาง และตรวจสอบความต้องการของผู้ได้รับผลกระทบในแต่ละพื้นที่ให้ทั่วถึง เพื่อให้ของบริจาคเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
8.เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เป็นเหตุการณ์รุนแรง ต่อเนื่อง ยาวนาน ซึ่งมีผลกระทบกับมนุษยชาติทั้งโลกในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม
และความมั่นคง ทำให้ปัจจัยที่จะต้องนำมาพิจารณาในกระบวนการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเปลี่ยนแปลงอย่าง
มีนัยสำคัญ จึงทำให้ยุทธศาสตร์ชาติเดิมที่ได้จัดทำไว้ก่อนที่จะมีเหตุการณ์ดังกล่าวไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบันและต่อเนื่องไปในอนาคต ดังนั้น เห็นควรให้มีการทบทวนและประเมินยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยเฉพาะในเรื่องของทรัพยากร (Resource) และวิธีการ (Ways)
9.สำหรับประเด็นพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563
ที่กำหนดแผนงานไว้ 3 ส่วน โดยส่วนที่ 3 เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จำนวน 400,000 ล้านบาท จะต้องให้มั่นใจว่าเป็นโครงการที่สามารถ
ต่อยอดได้ ไม่เป็นการใช้จ่ายเงินอย่างไม่เป็นประโยชน์ และสามารถตรวจสอบการใช้จ่ายได้ โดยอาจปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีให้รัดกุมยิ่งขึ้น รวมทั้งส่วนที่ 1 และ 2 ก็ควรมีการกำหนดให้ชัดเจนว่า
จะนำไปใช้จ่ายในโครงการอะไรบ้าง.
สำนักข่าวบ้านข่าว รายงาน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มูลนิธินายช่างไทยฯ ผนึกกำลังจิตอาสา กฟผ. ระดมกำลังเร่งฟื้นฟูระบบไฟฟ้าในพื้นที่ประสบอุทกภัย จ.สงขลา
December 5, 2025
ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) จัดการแสดงดนตรีบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ...
December 4, 2025
ท่าอากาศยานหาดใหญ่ส่งต่อถุงยังชีพ AOT ให้ชุมชนรอบสนามบิน
December 3, 2025
โรงเรียน นานาชาติ The American School of Bangkok ...
December 3, 2025